วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ก็ไปกันหมดแหละ ... นะ


คืนนี้ ก่อนนอน ได้อ่านข้อความที่เค้าเขียนๆกันมา มี กรธ.ท่านนี้เขียนถึง พล.อ.นิวัติ ศรีเพ็ญ เขียนในฐานะที่ได้ร่วมงานมาระยะหนึ่ง ก็คงมีความผูกพันกัน


ที่เอามาลงไว้ ณ ตรงนี้ ก็เพราะอ่านแล้วคิดได้ถึงเรื่อง 
รัฐธรรมนูญที่จะเป็นจะตายกันทั้งบ้านเมือง  

อันดับแรกเลย คนร่างรัฐธรรมนูญ ก็ไม่อยู่ใช้ก็มีแล้ว  
จะดีร้ายอย่างไร ก็ทิ้งไว้บนโลกนี้

อันดับที่สองที่คิดได้ก็คือ ความตายไม่มีนิมิตหมาย 
ไม่ต้องป่วยยาวนาน 
บางท่านเช้าเห็นบ่ายหายหน้า  
บางท่านสายมาค่ำเปลี่ยนภพ 
บางท่านป่วยหลายปี แต่ที่ดีๆ กลับไปก่อนกันหมด


ดังนั้น ศึกษาเรื่องราวความจริงของชีวิตไว้เถิด 
โลกหน้ามีจริง หรือไม่ เดี๋ยวก็คงทราบ 
โลกหน้าทำอะไรกันบ้าง เดี๋ยวก็คงรู้
ถ้าตั้งใจศึกษา ก็ต้องหาผู้รู้ 


ที่ทำยิ่งใหญ่ ก็อย่าลืมไปว่า 
ไม่ใหญ่ไปกว่าบ้านหลังสุดท้าย


อ่านที่ท่านนี้เขียนถึง พล.อ.นิวัติ ศรีเพ็ญ แล้วก็ต้องขอชมว่า ท่านเตรียมตัว สู้กับมรณภัย เป็นอย่างดี 

นี่เป็นบทความที่ส่งต่อๆกันมา ลองอ่านดู







ลาจาก จากเป็น ก่อนจากตาย...

แม้จะทราบล่วงหน้าแล้ว แต่เมื่อทราบว่า “พี่นิวัติ” หรือ พล.อ.นิวัติ ศรีเพ็ญ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญถึงแก่กรรมแล้ว ก็ยังอดใจหายและเสียใจมิได้

11 เดือนก่อน วันแรกที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) มาประชุมกัน ท่านแนะนำตัวสั้นๆว่า เพิ่งเกษียณมาจากตำแหน่งเจ้ากรมพระธรรมนูญ 

หลังได้รู้จักกันไม่นาน ท่านก็ทำให้ผมประหลาดใจได้ในหลายๆเรื่อง

ท่านเป็นกรธ.คนเดียวที่เป็นทั้งกรธ.และเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) แต่ท่านแทบไม่เคยขาดประชุมกรธ.เลย

ท่านเป็นนายพลเอกที่สมถะมาก มาประชุมที่สภาโดยใช้บริการรถสาธารณะเป็นประจำแทบทุกวัน 

บ่อยครั้งที่เลิกประชุมแล้ว เราสองคนจะอาศัยติดรถ อาจารย์ฐิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย ไปลงสถานีรถไฟฟ้าพญาไทแล้วไปแยกกันบนสถานีรถไฟฟ้านั้นแห่งนั้น

ภาพที่ผมจำติดตาอยู่เสมอคือ หลังประชุมเสร็จ หรือไม่ก็ขึ้นรถด้วยกันแล้ว ท่านจะควักเอาถุงอ่อนๆอีกใบออกมาจากกระเป๋าธรรมดาๆที่หิ้วอยู่เป็นประจำ ก่อนจะพับสูทใส่ถุงใบนั้น เพื่อที่จะได้สะดวกเวลาขึ้นรถสาธารณะ

ช่วงที่กรธ.ทำงานแล้วมีแรงเสียดทานมากๆ ผมเคยอ่านข้อเขียนของมิตรสหายบางคน เขียนต่อว่าเสียดสีว่า พวกทหารชั้นนายพลสุขสบาย กรธ.เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ผมได้แต่รำพึงในใจว่า มันไม่ใช่อย่างนั้นไปเสียทั้งหมดหรอก

ผมได้เรียนรู้จากพี่นิวัติอย่างหนึ่งว่า เราอย่าตัดสินใครง่ายๆ โลกมันไม่ขาวไปทั้งหมดหรือดำไปทั้งหมด

หลายเดือนก่อนท่านไม่ค่อยสบายท้อง ต่อเมื่อกรธ.ท่านหนึ่งแนะนำหมอให้ นั่นเอง ถึงทำให้ทราบว่า ท่านป่วยเป็นมะเร็งที่ตับอ่อนและกว่าจะรู้มันก็ลุกลามเข้ามาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว

ถึงกระนั้น ท่านก็ไม่ปริปากให้ใครรู้ หากแต่ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ออกไปชี้แจงรัฐธรรมนูญเท่าที่ทำได้ 

ตอนนั้น การทำรัฐธรรมนูญมาถึงขั้นเผยแพร่แล้ว กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม นัวเนียนุงนังกันไปทั่ว กรธ.ทราบว่าพี่นิวัติป่วยแต่ยังไม่ทราบว่า หนักขนาดไหน

จนวันหนึ่ง อาจารย์สมคิด เลิศไพฑูรย์ ที่ปรึกษากรธ.ได้ไลน์เข้ามาถามว่า มีใครพอจะหาห้องให้พี่นิวัติที่โรงพยาบาลรามาฯ ได้ไหมเพราะวันนั้นท่านไปรับการฉายแสงแล้ว แพทย์เกรงว่า ท่านจะมีอาการช็อคเนื่องจากแพ้คีโม กรธ.จึงได้จ้าละหวั่นกันไปหมดแต่ที่เราทำได้ก็คือ หาเตียงที่ใกล้ที่สุดคือที่สถาบันมะเร็งซึ่งอยู่ติดกับโรงพยาบาลรามาฯให้ได้เท่านั้น

ผ่านพ้นวิกฤตนั้นมาได้ไม่กี่วัน แพทย์ก็บอกว่า ตอนนี้พี่นิวัติยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์อยู่ จะทำอะไรให้รีบทำ

ในยามมรณะภัยมาเคาะประตูเรียก สิ่งที่พี่นิวัติและพี่จุไรรัศม์ภรรยาท่านทำนั้นแสดงให้เห็นถึงความองอาจของผู้ฝึกตนมาอย่างดีแล้ว

จากแพทย์ในวันนั้น ท่านไปลาพระภิกษุซึ่งท่านนับถือ กลับถึงบ้านก็เตรียมตัวอย่างดี เลือกรูปที่จะตั้งหน้าศพด้วยตัวเอง ฯลฯ
เตรียมรับมรณะภัยอย่างสงบ โดยมิได้หวาดหวั่นพรั่นพรึงแม้แต่น้อย

กรธ.ได้ติดตามอาการป่วยของท่านด้วยความเป็นห่วง นั่น ทำให้ได้ทราบว่า แม้แต่ในวันลงประชามติซึ่งตอนนั้นท่านเริ่มเดินลำบากแล้วแต่ก็ยังให้ลูกสาวพยุงไปลงประชามติ

เมื่อกรธ.ทราบความว่า จะทำอะไรให้รีบทำ กรธ.ก็ได้ขอไปเยี่ยมท่านที่บ้าน ภริยาท่านก็ว่าไม่สะดวกแต่พอได้เรียนท่านว่า ขอให้ได้แสดงมุทิตาจิตกันและอโหสิกรรมซึ่งกันและกันนะ จะที่ไหนก็ได้ นั่นล่ะ ท่านถึงบอกว่า ท่านจะมาที่สภาเอง

มีการประสานงานและเตรียมการรับพี่นิวัติอย่างดี เตรียมรถวีลแชร์ไว้รับเพราะทราบว่าท่านเดินไม่ได้แล้ว ผมสอบถามพี่นิวัติเองว่า ขากลับอยากนอนกลับไปสบายๆไหมจะได้ขอรถพยาบาลประจำรัฐสภาไว้ จะได้ให้เขาไปส่ง ท่านก็บอกว่า นอนกลับมาก็สะดวกดี ท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จึงประสานของรถพยาบาลไว้ และแจ้งให้เจ้าหน้าที่รัฐสภาได้ทราบเรื่องและทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่อื่นๆที่เขาไม่ทราบจะได้ปฏิบัติต่อท่านอย่างที่ควรจะเป็น

19 สิงหาคม พี่นิวัติมาถึงสภา 

จากเดิมตั้งใจกันว่า จะจัดล้อมวงสนทนาและแสดงมุทิตาจิตกันกลางห้องประชุมแต่อาจารย์มีชัย ท่านคิดละเอียดรอบคอบดีกว่านั้น เมื่อท่านมาถึงอาจารย์มีชัยได้เข้ามาให้กำลังใจแล้วบอกว่า ขอให้กรธ.ทั้งหมดประชุมกันเป็นนัดพิเศษ เพื่อแสดงมุทิตาจิตกับพี่นิวัติ

กรธ.จัดที่พิเศษให้พี่นิวัติได้นั่งประชุมจากวีลแชร์ในที่ที่ติดกับประธานที่ประชุม 



อาจารย์มีชัยได้กล่าวนำเป็นเวลานานร่วมสิบกว่านาที สาระแห่งคำพูดของท่านั้นเต็มไปด้วยแง่มุม ทั้งทางโลก ทางธรรม ยังความซาบซึ้งใจ และเป็นกำลังใจให้กับพี่นิวัติ ครอบครัวหรือแม้แต่กรธ.ทุกคนเป็นอย่างดี

ตลอดเวลานั้นพี่นิวัตินั่งฟังด้วยความสงบ จะมีบ้างก็ตอนเจ้าหน้าที่ต้องช่วยให้อ็อกซิเจนเพิ่มเติมเท่านั้น

หลังอาจารย์มีชัยกล่าวจบ พี่นิวัติได้กล่าวตอบและเอ่ยปากว่า “ผมขออโหสิกรรมต่อทุกคนด้วยนะ”

ตอนท่านจะกลับผมคุกเข่ากราบเรียนท่านข้างๆวีลแชร์ว่า “ผมก็ขออโหสิกรรมต่อพี่ด้วยนะแต่ผมคิดว่า ระหว่างเราและในหมู่กรธ.ไม่มีสิ่งใดที่ต้องอโหสิกรรมต่อกันเพราะมีแต่สิ่งดีๆต่อกัน”

ลึกๆแล้วไม่ว่าพี่นิวัติหรือกรธ.ทั้งหมด ทราบดีว่า วันนี้เป็นการมาลาจากกัน จากเป็น ก่อนที่จะจากตาย

นักข่าวเห็นท่านขึ้นรถพยาบาลก็รายงานว่า ท่านมาประชุมแล้วฟุบคาที่ประชุม ผมเห็นข่าวแล้วเลยไปบอกว่า ไม่ใช่ มันไม่ได้เป็นแบบนั้น ท่านป่วย ท่านมาลา เราได้มาอโหสิกรรมต่อกัน และเรื่องนี้ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ท่านไม่อยากเปิดเผย มีองค์กรสื่อแห่งหนึ่งที่ผมก็โทรไปบอกแบบนี้ เพื่อให้เขาทราบว่า ข่าวที่รายงานออกไปนั้นมันผิด 

ผมหวังว่า เขาจะแก้ไขให้หรืออย่างน้อยก็คงเห็นแก่ความเป็นมนุษย์ของคนอื่นบ้าง

ผมประจักษ์ว่า สิ่งที่พี่นิวัติและภรรยาได้ทำให้เห็นนั้นคือ การแสดงธรรมโดยแท้ ผมพยายามศึกษาเรื่องการเตรียมตัวตายแต่ก็ไม่เคยเห็นคนประสบมรณะภัยใกล้ตัวคนไหนเข่นพี่นิวัติมาก่อน

ผมไม่เคยคุยเรื่องธรรมะกับท่านแต่เชื่อว่า ลึกๆแล้ว ท่านเป็นพุทธศาสนิกชนที่รู้ซึ้งถึงพระธรรมคำสอนที่ดีมากผู้หนึ่ง

มรณะกรรมของพี่นิวัติย่อมยังมาซึ่งเสียใจของครอบครัวและเป็นความสูญเสียของกรธ.ทุกคนด้วย ผมเองรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสได้รู้จักและได้มีโอกาสทำงานร่วมกันกับท่านครับ

ภัทระ คำพิทักษ์





ไม่ต้องกังวล เส้นทางนี้ แค่เดินกันไปก่อน และ หลังแค่นั้นเอง

วิ. 31สค. 59


ดีเอสไอ..ทำไมประพฤติเยี่ยงนี้

วันนี้เจอบทความนี้ ในเน็ท 
ส่งต่อๆ กันไป ต่อๆ กันมา 
อ่านแล้วก็มีประเด็นดี 
เรื่องมหากาพย์คลองจั่น  
มีเงินมีทองก็มีปัญหาตามมา

เรื่องปัญหาของคลองจั่นยกไว้
แต่เรื่องการฟ้องร้อง 
เมื่อไม่กี่วันก่อน ก็ยังเป็นข้อถกเถียงว่า 
ตกลงศาลไหนจะฟ้อง ศาลไหนจะรับ
ยังมึนงงไปทั้งบาง ถึงขนาดว่า 
ดีเอสไอต้องออกมา 
"แถลง" ( ถะ-แหลง ห้ามอ่านอย่างอื่น) 
ในวันหยุดสุดสัปดาห์แทนที่จะพักผ่อนบ้าง 

วันนี้บทความนี้ สงสัยดีเอสไอ 
คงต้องออกมา"แถ ลง" อีกรอบหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ




เนื้อบทความ.......



เมื่อดีเอสไอฟ้องมั่ว
ดีเอสไอได้สั่งฟ้องคดี 2 คดี 
กรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น  
ที่ขัดแย้งกันเอง คือ

1. คดีพิเศษที่ 146/2556  
สั่งฟ้องนายศุภชัยและพวกข้อหา 
“ ลักทรัพย์นายจ้าง  ”  
แสดงว่าทรัพย์นั้นต้องเป็นของสหกรณ์ฯ คลองจั่น  
 ซึ่งเป็นนายจ้างของนายศุภชัย


2. คดีพิเศษที่ 63/2557  
สั่งฟ้องนายศุภชัยและพวกข้อหา 
“ ฉ้อโกงประชาชน ”  
คือหลอกชาวบ้านให้มาฝากเงินกับสหกรณ์ฯ  
แสดงว่าทรัพย์นั้น  เป็นทรัพย์ที่เกิดจากการกระทำความผิด  
เจ้าของทรัพย์ที่มีสิทธิเรียกเอาทรัพย์คืน 
คือ ประชาชนที่ถูกหลอกลวง  
ทรัพย์นั้นจึงไม่ใช่ทรัพย์ของสหกรณ์ฯ คลองจั่น



การที่ดีเอสไอสับสน สั่งฟ้องมั่วทั้ง 2 คดีที่ขัดแย้งกันเอง  
จึงขัดต่อหลักกฎหมาย




ทางสหกรณ์ฯคลองจั่นยืนยันมาตลอดว่า 
ทรัพย์นั้นเป็นของตนและเป็นผู้แจ้งความ
ในคดีที่ 146/2556 
 จนอัยการสั่งฟ้อง  เรื่องขึ้นสู่ศาลแล้ว


ถ้ามีคดี 146/2556  ก็จะมีคดี 63/2557 ไม่ได้ใช่หรือไม่
หรือว่า จะเอาคดี 63/2557 ที่เกิดที่หลัง แล้วคดีที่เกิดก่อนจะทำอย่างไร เพราะมูลฐานคือ ตัวเงินที่มา ก้อนเดียวกัน แล้วจะให้ใครเป็นเจ้าของกันแน่

แล้วคดีที่ตามมาหลังจากนี้อีกหลายคดี 
ถึงขนาดไปออกหมายจับพระผู้ใหญ่  
จะทำอย่างไร

จบบทความ






เรื่องราวนี้ เหมือนบทละครที่หลอกล่อคนดูให้มาติดตาม ว่ามาถึงอย่างนี้แล้ว เป็นเสมือนทางตันที่หาทางออกลำบาก 

จะเลิกกันไป ก็กลัวกรรมการจะจัดการเอา  จะเดินต่อก็ไม่ไปถูก จะถอยหลัง ก็จะเจอ 157 อีก 

สงสัยงานนี้ คงไปหา "วัว44 ตัว" มาใช้เทียมเกวียน 
พาออกจากวังวนนี้ซะละมั้ง


โปรดติดตาม(อาจถูกตัด)ตอนต่อไป  .

... เหมือนใครในคุก

วิ.31สค.59

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

" จำไว้คุณคือใคร "

สองสามวันที่แล้ว ในไลน์ส่งข้อความที่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เขียนต่อๆกันมา ไม่รู้ที่มา ไม่มีที่ไป แต่เขียนข้อความได้จับใจดี  ก็เลยเอามาเก็บไว้  ไว้วันหน้าอยากอ่านอีกจะได้หาเจอ

เป็นเรื่องเกี่ยวกับการอยู่ และไม่อยู่ในอำนาจตำแหน่ง มีการเปรียบเทียบได้ดี บาดใจเล็กๆ 

เขียนได้ดี เขียนอีกนะ




นี่คือเรื่องที่ถูกใจผมที่สุด
" จำไว้คุณคือใคร "
มีนักพูดได้มายืนอยู่ณ. ที่นี้ ท่ามกลางผู้เข้าฟังเป็นพันคน
เค้าเพิ่งเกษียณมาเร็วๆนี้ เค้าเป็นอดีต......แห่งชาติ
เขายืนอยู่หน้าเวที ในขณะที่เขาเริ่มการพูดของเขาโดยยกกาแฟในถ้วยกระดาษขึ้นมาจิบ
เขาได้ขัดจังหวะในการพูดของเขาว่า รู้มั้ยเมื่อปีที่แล้ว ผมเป็น......แห่งชาติ
ผมได้มาพูดอยู่ณ. ที่นี้ ที่แห่งนี้ เค้าเชิญผมมาโดยบินมาด้วยชั้นธุรกิจ
มีรถไปรับที่สนามบินมาที่โรงแรม มีคนเช็คอินโรงแรมรอไว้ให้แล้ว พาผมขึ้นไปบนห้องพัก
ตอนเช้ามีคนมารอรับที่ล็อบบี้โรงแรม และพาผมมาที่นี่ ที่ด้านหลังเวที พาไปห้องพักรอและเสริฟกาแฟผมด้วยถ้วยกระเบื้องหรูหราสวยงาม ตอนนี้ผมไม่ได้เป็น...แล้ว ผมบินมาด้วยชั้นประหยัด นั่งแท็กซี่มาที่โรงแรม เช็คอินเอง เช้าผมนั่งแท็กซี่มาที่นี่เอง เดินเข้าทางด้านหน้า ถามหาทางเข้ามาหลังเวที
ผมขอกาแฟ มีใครคนนึงชี้นิ้วไปที่เครื่องทำกาแฟที่มุมห้อง และผมก็รินกาแฟใส่ถ้วยกระดาษตรงนั้น



บทเรียนนี้สอนว่า ถ้วยกระเบื้องไม่ได้มีไว้สำหรับผม มันมีไว้สำหรับตำแหน่งที่ผมเป็นผมมีค่าเหมาะแค่ถ้วยกระดาษ เราทั้งหลายมีค่าแค่ถ้วยกระดาษ เมื่อคุณเริ่มประสบความสำเร็จในชีวิต
คุณจะได้รับความสะดวกสบาย ผู้คนจะเรียกว่าท่านครับ ท่านค่ะ เค้าจะช่วยคุณถือกระเป๋า เปิดประตูให้คุณ
ชงชาให้คุณดื่มทั้งๆที่คุณไม่ได้ร้องขอ แต่นั่นไม่ได้ทำให้คุณ เค้าทำให้ตำแหน่งที่คุณเป็น เมื่อคุณก้าวออกไป เค้าจะเอาทุกอย่างให้กับคนที่มาแทนที่คุณ

อย่าลืมเป็นอันขาดว่า เรามีค่าเหมาะแค่ถ้วยกระดาษเท่านั้น

และต้องปลงให้ได้สำหรับคนส่วนใหญ่ที่คบกันด้วยหน้ากากและตำแหน่งหน้าที่

ปลาเน่าเพียงตัวเดียว






"วิธีนี้มันจะแก้ปัญหาได้อย่างไร"  เสียงเข้มๆจากบุคคลที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ

ที่ประชุมนั่งเงียบไปชั่วอึดใจ

" ท่านครับ  แต่ .. มันจะเสียไปทั้งหมดโรงเรียนนะครับ"
"ใช่ค่ะ  ตอนนี้เค้าออกข่าวว่า เด็กนักเรียนโรงเรียนเรา ทำตัวเป็นนักเลง ตีรันฟันแทง ยกพวกไปตีกับนักเรียนรอบๆ นี้นะคะ"

" นี่มันกี่ครั้งแล้วครับท่าน ทั้งตักเตือน ทั้งทัณฑ์บน  อย่างนี้ไม่ไหวนะครับท่าน"
" แค่เด็กคนเดียวนะครับ บางครั้งก็ต้องตัดใจนะครับ"

ผู้อำนวยการนั่งนิ่ง มองดูผู้เข้าร่วมประชุม ทั้งยี่สิบกว่าชีวิต เห็นทีจะต้านไม่ไหว ..

อ่านมาถึงตรงนี้  ทุกท่านคงคิดได้ว่าเรื่องนี้ เด็กนักเรียนคนเดียว ทำให้เด็กทั้งโรงเรียนเสียหายได้ จะแก้ไขอย่างไรดี



วิธีการที่จะดัดนิสัย กว่าจะแก้ได้ คงเสียไปทั้งโรงเรียน จะด้วยความสามารถของครูบาอาจารย์ หรือสันดานที่ติดตัวมาของเด็กน้อย ที่มาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่บ้าน หรือว่าได้รับเชื้อมาจากเพื่อนตอนโต ก็ไม่ทราบ

ถ้าเรื่องนี้เกิดกับหน่วยงานที่ท่านทำ บริษัท กรมกอง ที่อยู่ ท่านคิดจะแก้ปัญหานี้เช่นไร


แต่ว่าเรื่องนี้แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องเว้นบางคน ให้ไปรอพระพุทธเจ้าองค์ข้างหน้าโน้นโปรด

นับประสาอะไรกับพระสงฆ์องค์เจ้ายุคนี้



แม้ในวงการสงฆ์ วันนี้ ก็คล้ายๆกับเรื่องที่ยกมาข้างต้น คณะสงฆ์ สมัครสมานสามัคคี กันดีเห็นจากการรวมคน รวมพระแต่ละครั้งพระเกือบทั้งประเทศให้ความสนับสนุน  ร่วมมือกันอย่างดี ตักบาตรแต่ละที่พระนับหมื่น  เดินแถวเป็นระเบียบสวยงาม

จะมีก็แต่แถววัดอ้อน้อยอยู่หนึ่งเดียว ที่วันๆเอาแต่หาเรื่องชาวบ้านชาววัด เดินขึ้นโรงขึ้นศาล ไปทั่ว เว้นกิจที่สงฆ์พึงกระทำ ทำสิ่งที่มิใช่กิจ

ว่ายาก สอนไม่ได้ แม้คณะสงฆ์จะตักเตือนด้วยความปรารถนาดีเช่นไร ก็แถไถไม่ยอมปรับปรุง ถือดีว่ามีผู้ใหญ่บ้านเมืองให้การสนับสนุน

เป็นปลาเน่าตัวเดียวที่เหม็นคลุ้ง

แล้วบ้านเมืองจะเอาอย่างไร



" คงต้องยอมพวกคุณ ทำเรื่องไล่ออกไปก็แล้วกัน"  หัวโต๊ะกล่าวแบบยอมจำนน

วิ. 24 สค 59


วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ศึกสายเลือด





บทกวี 7 ก้าวของโจสิด

โจผี และ โจสิด บุตรของโจโฉ

เมื่อโจผีสามารถครองบัลลังก์ จึงคิดกำจัดโจสิดที่เป็นน้องชายเสีย

แต่รู้ว่าน้องมีความสามารถแต่งโคลงกลอนได้ดี จึงให้โอกาส

โจสิดแต่งบทกวีภายใน 7 ก้าว บอกเหตุผลที่พี่น้องไม่ควรฆ่ากันเอง

โดยห้ามมีคำว่า"พี่น้อง"ในบทกวีนั้น หาไม่เช่นนั้นจะประหารโจสิดเสีย




โจสิดจึงร่ายบทกวี 7 ก้าว ที่ต่อมากลายเป็นตำนานให้คนรุ่นหลัง ว่า

ต้มถั่วใช้เถาถั่วเป็นเชื้อไฟ 
ถั่วร่ำไห้อยู่ในน้ำเดือดพล่าน
ต่างก่อเกิดจากรากเหง้าเดียวกัน
ไยเผาผลาญร้อนรนจนปานนี้


เรื่องราวในโลกใบนี้ ก็เป็นเหมือนรอยล้อเกวียน ที่ตามทับรอยเท้าโค เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เปลี่ยนสถานที่ บุคคล เวลา แต่ก็มาแนวเดิมๆ


พี่น้องทะเลาะกัน พ่อแม่แยกทางกัน ปัญหาเดิมๆ
เศรษฐกิจ ..ก่อนแต่ง ก็คิดว่า คนเราช่วยกันทำมาหาเก็บ กินนิดหน่อย คนเดียวยังเหลือแค่นี้ สองคนก็ต้องคูณสอง ...

ความจริง อยู่ด้วยกันกินมากกว่าเดิม สองคนเกี่ยงกันทำ แย่งกันใช้ ไม่เคยพอ


สังคม... ก่อนแต่ง มีแต่คำหวานพรั่งพรู โลกเป็นสีชมพู 
ความจริงปรากฏหลังจากที่อยู่ด้วยกัน ความหวานเอาไปชงกาแฟ ความแก่มาแทนที่ แก่ทุกเรื่อง มีทั้งเพื่อน ทั้งกิ๊กก๊อก อะไรมาเพิ่มเติมเต็มความขม หน่วยของสังคมที่เล็กสุดก็พังทลาย

คนทั้งหลายก็เห็นเหมือนๆกัน รอบตัวเราไม่มีคู่ไหนที่มีชีวิตสงบ ราบเรียบ แต่ก็จะคิดว่าถึงคราวตัวคงแก้ไขได้

พี่น้องที่ทะเลาะกัน ก็เพราะการเลี้ยงดูตั้งแต่เล็ก การกิน การนอน ความสะอาด ไม่ถึงที่ ความระเบียบไม่มีไม่ต้องพูดถึง  ก็จะเกิดความรู้สึกระหว่างพี่น้องว่า อีกคนได้ของที่ดีกว่าตัวเองเสมอ คิดว่าพ่อแม่ลำเอียงเสมอ ก็พยายามแย่งเอาของๆ อีกคนมาเป็นของตัว

บางทีก็เป็นเพราะพ่อแม่ไม่ฉลาด สร้างแรงจูงใจให้ลูกแบบผิดๆ ทำให้ลูกคิดที่จะได้ความสำเร็จที่มีอยู่หนึ่งเดียว ให้ลูกแข่งกันไปถึงจุดนั้น ลูกก็ไม่รักกัน เพราะเห็นเป็นคู่แข่ง  แย่งชิงกัน ถ้าร้ายกว่านั้น ก็เข่นฆ่า ทำลาย ทำร้ายกัน 


ถ้าตัวเองคนเดียวชนะไม่ได้ ยอมก็จบ แต่บ้างบางทีก็ไปรวมสมัครพรรคพวก มาจัดการอีกฝั่งอีกฝ่าย บาดเจ็ดล้มตายเพราะแย่งชื่อเสียงเกียรติยศ ทรัพย์สินเงินทอง ความเป็นใหญ่ ที่สุดคือ อำนาจ

แม้โจผี ขึ้นครองราชย์แล้ว ความรู้สึกนี้ก็ยังมีอยู่ อะไรที่เป็นของน้องโจสิด ก็ยังอยากถอนรากถอนโคนให้หมด  อำนาจล้นฟ้าที่ตัวมีแม้มากแล้ว แต่ก็ไม่พอเติมเต็มใจที่พร่อง 

ส่วนน้องโจสิด จะคิดอะไรกะพี่นั้น  
อันนี้ก็ไม่รู้สินะ

แต่ดูเหมือนว่า ใครโหดกว่า ก็เข้าป้ายก่อน

ในเวลานี้ แว่วๆมาว่า จะมีมหกรรมต้มถั่วใช้เถาถั่วกันขึ้นมาอีกแล้วแต่ก็ไม่ทราบรายละเอียดว่า จะเอาเถาต้มถั่ว หรือเอาถั่วต้มเถา 

ชาวสารขันธ์อย่างเราๆ ก็รอดูว่าใครออกตัวก่อน ใครจะถึงป้ายก่อน
ผ่านป้ายนี้แล้วหวังว่า สารขันธ์ประเทศของเรา คงไปตามถนนแห่งครรลองธรรม ซะที

วิ. 17 สค. 59


วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง..


แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง...

เสียงเพลงค่าน้ำนม  ดังไปทุกที่ๆ มีการจัดงานวันแม่ 
คำว่า แม่มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ไม่กี่คำนั้นกินความหมายมากมาย

แม่มีบุญ  ต่อ ลูก  เป็นผู้ที่ให้การกำเนิด เป็นทางผ่านมาสู่โลกมนุษย์ ให้กายเนื้อแก่ลูกไว้ใช้ทำความดี  
ห้ไว้สร้างบารมีสั่งสมบุญกุศล เพื่อการเดินทางยาวไกลในสังสารวัฎ
ให้การเลี้ยงดู อุ้มชู ดูแล ให้การศึกษา ความรัก  ข้าวน้ำ เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ 

แม่มีคุณ  คุณความดี ที่ลูกต้องกราบไหว้ เป็นพระอรหันต์ประจำตัวลูก ฝ่าเท้าแม่ เป็นประตูสู่สวรรค์ 

แม่มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ที่ลูกต้องทดแทนตอบแทนคุณท่าน ด้วยการกระทำต่อท่าน ดูแลท่าน ทั้งความเป็นอยู่ ทั้งด้านจิตใจ ในยามท่านชรา 




นี้เป็นเรื่องราวที่เราท่านทั้งหลาย ก็ได้เรียนรู้รับทราบกันมา ตั้งแต่เกิด ณ แผ่นดินนี้ ที่มีพระพุทธศาสนาเรืองรอง 

คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึง เข้าไปสู่ใจของทุกคน ซึบซาบเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมอันดีงาม

เฉพาะ คำว่า บุญ คำเดียวนี้ ก็เป็นสิ่งที่มีเฉพาะพระพุทธศาสนา การจะรู้ว่า มีกระแสของความดีที่เรียกว่าบุญนั้นได้ จึงเป็นต้นของเรื่องราวการสร้างบารมีที่ยิ่งยวดต่อไป





แต่ปีนี้ 2559 วันแม่ กลับเกิดเหตุที่ไม่คาดหมาย มีการก่อวินาศกรรมถึงสิบกว่าจุดใน 7 จังหวัด ทางตอนใต้ของไทย 
เกิดความวุ่นวาย บาดเจ็บ ล้มตาย สูญเสียคนอันเป็นที่รัก  

แม่ที่คอยการกลับมาของลูก ก็เสียลูกไปด้วยเหตุการณ์ที่ไม่ควรบังเกิดขึ้นในวันนี้  หรือ ในเมืองนี้

ลูกที่คอยการกลับมาของแม่ ก็เสียแม่ไปด้วยเหตุการณ์ที่ไม่ควรบังเกิดขึ้นในวันนี้  หรือ ในเมืองนี้

ลองหลับตาคิดว่า 

ถ้าประเทศนี้ไม่มีคำสอนทางพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ต้น  
ไม่รู้จักบุญ 
ไม่รู้จักคุณ

แม่ที่เรารักเคารพ  
อาจจะไม่ใช่แบบที่เรารักในตอนนี้  ความคิดตามคำสอนอื่นนั้น เมื่อเชื่อในสิ่งอื่น ที่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นสัจธรรมแล้ว

ถ้าเพียงบอกว่า สิ่งที่ความเชื่อนั้น ที่เคารพสูงสุด ต้องการ เพียงเท่านี้
อะไรก็ทำได้ พลีได้เพื่อสิ่งที่เราหวัง แม้พลีชีพไปกับความบ้าคลั่ง

บ้านที่เราอยู่ ณ ตอนนี้ 
ครอบครัวที่เราเป็น ณ ตอนนี้
เราจะไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ แบบที่เป็นเช่นนี้

เราจะไม่รู้เรื่อง ภพภูมิ  ไม่รู้เรื่องกลไกของกฎแห่งกรรม ไม่รู้เรื่องกฎของจักรวาล 

ทุกส่ิงทุกอย่างขึ้นกับการดลบันดาลของ อะไรสักสิ่งหนึ่งที่เราสร้างขึ้นจากจิตนาการเท่านั้น  ไม่เคยมีอะไรอยู่จริง ไม่มีทางพิสูจน์ ไม่มีทางเข้าถึง  เป็นเพียงความเชื่อที่เลื่อนลอย

ถ้า ณ วันนี้เราเป็นอย่างนั้น ลองคิดดูว่า วันแม่แห่งชาติ เราจะทำอะไร..

แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ....?






ขอขอบคุณภาพจาก

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559

การวัดการเมือง



อยากถามพวกชอบเล่นกีฬาสีว่า
วันนั้นกับวันนี้ยังเกลียดสีที่เป็นฝ่ายตรงข้ามเท่าเดิมอยู่ไหม

วันนั้น จะเอากันให้ตายไปข้างหนึ่ง พ่อแม่พี่น้องนับญาติกันไม่ถูก
วันนี้ ก็ปวดหัวกันไปทั่วทุกฝ่าย โดนกันไปถ้วนทั่ว แล้วจะยังเกลียดกันเหมือนเดิมไหม ...?

ลองคิดใหม่นะ  ลองคิดยาวๆ นะ
คนที่ความเห็นไม่ตรงกันกับเรา
ชาตินี้ที่เราเจอ
เราไม่ชอบหน้า
เราไม่ชอบความคิด
การกระทำ คำพูด
ของคนเหล่านี้

แล้วเราจะเจอเค้าทุกชาติเอาไหม
ชาตินี้ อายุกันแค่ไม่ถึงร้อยปี
บางชาติอายุเป็นหลายๆ หมื่นปี เป็นแสนปี
ถ้าต้องมาเจอหน้า

แล้วก็เจอความคิดที่ตรงข้ามแบบนี้จะไหวไหม..?

บางคน เพื่อนพ้อง พี่น้อง อย่างอื่นก็รักกันดี
แต่เรื่องการเมืองไม่ไหว เข้ากันไม่ได้
จะทำอย่างไง




เชื่อไหมว่า
ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์
ไม่ว่าชาติใด เมื่อไร ที่ไหน
เราก็เจอเรื่องการเมืองทุกชาติไป
เพราะมนุษย์เป็นพวกที่ต้องมีสังคม
มีการปกครอง มีคนที่เป็นผู้ปกครอง และผู้ถูกปกครอง

การที่เราโกรธ เกลียด
จองเวร จองกรรมกัน
มันก็เท่ากับเอาใจเราไปผูกกับใจเค้า
ไม่ว่าชาติไหนไปเกิด ถ้าอยู่ชาติเดียวกัน
ก็จะเกลียดกันต่อ ทะเลาะกันต่อ
เป็นมนุษย์ทั้งคู่ ก็อยู่กันคนละฟาก
เป็นมนุษย์ ข้างนึง เป็นสัตว์ข้างนึง เจอกัน ก็ทำร้าย ทำลายกัน
ยิ่งเป็นสัตว์ไปทั้งหมด ก็แย่เลย ...

เราจะเอาไหม

เมื่อเราคิดยาวๆ ไกลๆ แบบนี้ เราก็ควรที่จะคิดแบบ การวัดบ้าง
การวัดที่ไม่ใช่วัดแสง วัดค่า วัดคำนวณ
แต่เป็นการเข้าวัดวาอาราม ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
รู้ว่าชีวิตคือการสร้างบารมี ที่ยาวไกล



ไหนๆ ก็จะเกิดกันไปอีก
เราก็คิดดี พูดดี ทำดี อยู่แล้ว
ก็ต้องเพิ่มอีกนิดว่า อย่าไปผูกใจโกรธ เกลียด
มองคนที่เค้ามีความเห็นต่างจากเรา
ก็คนปกติ
แค่เห็นต่าง
ก็ต่างคนต่างอยู่ เพราะเดี๋ยวก็ต่างคนต่างไป

คนที่รักชอบพอกัน แม้ความคิดไม่ลงรอยกันในภพนี้ชาตินี้
ไม่แน่ว่า ชาติหน้า หรือว่า ชาตินี้ก็อาจเปลี่ยนใจมาชอบเหมือนกันได้
ถ้าไม่ผูกใจโกรธเกลียดกันไป ก็พอรักกันต่อไปได้
เกื้อกูลกันร่วมทางกันไป ช่วยเหลือกันไป



การปกครองบ้านนี้เมืองนี้ ก็เปลี่ยนมา เปลี่ยนไป
ตามกระแสบ้านเมือง เมื่อบุญในตัวเราเป็นผู้ถูกปกครอง
ก็ทำตัวทำใจอยู่ในการปกครอง ต่อไป

แต่ถ้ามีบุญพอเป็นผู้ปกครองเอง
ถึงเวลานั้น ..
ก็ต้องดูแลประชาชนให้ถูกต้อง
ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม ไม่ผูกเวรผูกกรรมกันไป

เกิดมาแต่ละชาติจะได้ สร้างสมความดีไปได้เต็มที่
ไม่ต้องมาปวดประสาท เหมือนตอนนี้

วิ.6 สค.59