วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรื่องนี้ไม่มีโหวต NO




รรมดาเวลาคนเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ก็จะบอกหรือ ทำให้คนอื่นดูพร้อมๆ กัน  เช่น 
ไม่ชอบข้าวแกง แต่ชอบผัดไท  
ไม่ชอบหน่อไม้ แต่ชอบมะเขือ   
ไม่ชอบคนนี้ แต่ชอบคนนั้น  
ไม่ชอบของหวาน แต่ชอบของขม  
ไม่ชอบทุนนิยม แต่ชอบนิยมทุน ...​?  อันนี้เป็นต้น 

ชอบกะไม่ชอบ ก็จะมาให้เห็นพร้อมๆ กัน บ่อยๆ 

วันนี้ เห็นข่าวแล้วทำให้มึนงง สงสัย  ว่าตกลงบ้านเมืองนี้จะเอาอย่างไง
เห็นข่าวไล่พระจากป่า กันยกใหญ่รอบประเทศ ทั้งเหนือใต้ ออกตก  
แต่เห็นข่าวยกที่ป่ากินเขตสามจังหวัดทางใต้ให้ชุมชนอิสลาม


รัฐอำนวยความสะดวกปิดถนน ให้กลุ่มสนับสนุนปาเลสไตน์


กลุ่มพลเมืองโต้กลับ ถูกจับ เพราะไปยืนนิ่งๆ 
เห็นข่าวไม่กี่วันก่อนมีคนออกมาเดินขบวนไปประกาศสนับสนุนปาเลสไตน์  
เห็นข่าวไล่จับนักศึกษาและผู้ออกเดินขบวนแสดงความเห็นทางด้านการเมืองไทย
บิ๊กป้อม เปิดบ้านรับผู้นำศาสนาอิสลาม

ดีเอสไอ แจ้งข้อหาสมเด็จ


เห็นข่าวเปิดบ้านผู้ใหญ่ทางบ้านเมือง คนหนึ่ง ต้อนรับคณะผู้ปกครองในศาสนาอิสลาม 
เห็นข่าวถวายหมายข้อกล่าวหา ให้กับว่าที่สมเด็จสังฆราช ของศาสนาพุทธ  
เห็นข่าวไล่ล่า จะจับหลวงพ่อวัดพระธรรมกาย
เห็นข่าวจะบุกอีก .. แล้ว ก่อนลงประชามติ
เห็นข่าวสอบพระลูกวัด และเครือข่าย วัดพระธรรมกาย


ตกลงชอบ กะ ไม่ชอบ นี่แสดงให้เห็นกันชัดๆ กันไปใช่ไหม

ตอนนี้ ทางฝ่ายรัฐก็แสดงท่าทีชัดเจนไปแล้ว ชอบอันไหน ไม่เอาอันไหน
ในฐานะคนพุทธ ก็ขอแสดงจุดยืนเหมือนกันว่า

เราชอบให้ชาวพุทธไม่ถูกใคร ไม่ว่าจะมีอำนาจขนาดไหน มาเบียดเบียน
เราชอบ ปกป้องพุทธศาสนา เอาไว้ให้ลูกหลาน
เราชอบ ความสงบ ร่มเย็น จากการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา
เราชอบ ที่จะยืนหยัดสู้  ความอยุติธรรมที่จะมาทำลายพระพุทธศาสนา

เราไม่ชอบ สิ่งใดๆ ที่ทำให้บ้านเมืองเกิดความแตกแยก
เราไม่ชอบ ในการที่พวกท่านทำลายพระพุทธศาสนา 

ความบอบช้ำที่ทุกท่านได้สร้างบาดแผลไว้ให้กับ ประชาชน มันมากมายเกินพรรณา มาถึงวันนี้ เมื่อพวกท่านเพียรพยายามที่จะกำจัด อำนาจทางการเมือง ของฝั่งที่ท่านไม่ปรารถนาให้มาทำงานบริหารประเทศนี้  แม้ว่าวันเวลา คนที่ชอบไม่ชอบ ก็นิ่งเสีย เพราะเห็นว่า เรื่องแบบนี้มันย่อมมีวันถึงที่สุด 

จะด้วยเกรงใจใครหรือ อะไร ก็ตาม  

วันที่ 7 สค.นี้  แม้ผลประชามติ จะออกมาเช่นไร จะ NO  or  YES  พวกท่านก็ประกาศกันไปล่วงหน้า ว่า ท่านจะอยู่ปกครองของท่านต่อไป  แม้รู้สึกว่า คำพูดที่ประกาศมันจะแสลงใจชาวประชาอย่างเราๆ เหมือนกับว่า
"กูขี่คอพวกมึงไม่ว่ามึงจะรับกติกาที่กูตั้งให้ไหม กูก็ขี่พวกมึงต่อไป "
เรื่องนี้มันก็ทนมาแล้ว ทนมาพักนึงแล้ว แต่จะทนกันไปต่อไปแค่ไหน ก็ไม่รู้
แต่ว่าสิ่งที่พวกเราคงทนไม่ได้ ทนไม่ไหว ก็คือ 


“ไม่ว่าใครก็ต้องตาย แต่จะมีใครที่มีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง ”
(เป็นอิสระต่ออำนาจมืดที่กดขี่ข่มเหง)


การที่พวกท่านบังอาจ ที่จะทำลายล้างพระพุทธศาสนา ให้มันหมดสิ้นไปจากพื้นแผ่นดินไทยนี้ 
มันจะเกิดอะไรก็คงต้องเกิด  

เรื่องนี้ไม่มีโหวต NO

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

NO ไม่เห็นด้วย

จากข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ 


พระ ปลุกม๊อบอีกแล้ว ..ทำไมบวชแล้วไม่ทำตามพระพุทธเจ้า
บวชแล้ว ต้อง ลด ละ เลิก

ก็มันมีเรื่องระหว่างพระกับรัฐ พระกับตำรวจ พระกับความสับสนข้อมูล 
เรื่องมันเลยวุ่นไม่จบ พระแต่ละวัด ก็ยังมีโยมอีก

มีทั้งโยมสนับสนุนพระ และ โยมที่เหนื่อยใจ

โยมๆ ที่เห็นแล้วเหนื่อยใจ ว่าพระออกมากันทำไมเหรอ น่าจะสงบ เสงี่ยม เรียบร้อย 
อยู่กันแต่ในวัดอย่างเดียว  เรื่องทางโลกๆ ก็ปล่อยให้เด็กๆ วัดทำกัน 

ใช่ไหม ..
พูดมาถูกหมดเลย...  แต่มันก็ไม่ครบถ้วน

ที่มักพูดว่า ทำไมไม่ทำตามเค้า....​ เค้าไหน

ในมุมมองของชาวบ้าน 
มุมมองของผู้ที่จะเอาผลประโยชน์ 
มุมของผู้เสียหาย  
ถ้าบอกทำไปตามเค้า แล้วจะทำตามใคร



ดังนั้น ในทางสงฆ์ ต้องทำตามที่พระพุทธเจ้าสอน และ ทำไว้เป็นแบบอย่าง เท่านั้น เน้นเลยว่า เท่านั้น

เรื่องแรก  เรื่องพระยกพวกไปไหนมาไหน สมัยก่อนมีไหม สมัยพุทธกาลมีไหม

มีซิ

 มีมากเสียด้วย  พระพุทธเจ้าเวลาเสด็จไปไหน ก็มีพระสงฆ์แวดล้อมห้าร้อยบ้าง ถึงหลักหลายๆ พัน เป็นหมื่น ก็มี


อันนี้ไม่นับเหรอ... 

ไม่ใช่เหรอ อ้อ หมายถึงเอาพระไปปิดสถานที่ราชการ อย่างนี้ไม่มีหรอก มีก็ไม่ใช่พระแล้วไปปิดไปยึดสถานที่ราชการ เข้าข่ายกบฏแล้ว

แต่ถ้าแค่ยกพวกมาเรียกร้อง ต่อพระราชามหากษัตริย์ มีไหม

ก็  มีซิ

จาก อรรถกถาภรุราชชาดกที่ ๓
อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก

สรุปเนื้อหาให้พอเข้าใจ 
เริ่มเรื่องที่  เหล่าปริพาชก ไม่มีใครขึ้น เพราะมีวัดพระเชตวัน ที่พระพุทธเจ้ามาประทับ อยู่เป็นประจำ คนก็ไปฟังธรรมพระพุทธเจ้าหมด  ของหลอกของปลอมก็ขายไม่ได้ ก็คิดกันว่า เพราะทำเล เป็นแม่นมั่น




ดังนั้น ก็ปรึกษากันว่า สร้างวัดแข่งกับพระพุทธเจ้านี่เลย เอาที่ๆติดกันกับวัดเชตวันเลย ทำเลดี คนมาวัดแล้วก็แวะมา

ก็ไปรวมเงิน มาได้แสนกหาปณะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเยอะขนาดไหน  แต่ก็พอที่ทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์เมืองนั้น สนใจ ยอมรับบรรณาการ  เพื่อให้เซ็นอนุมัติก่อสร้างได้

เมื่อเริ่มก่อสร้างก็เอาคนงานเข้าเต็มที่กะเร่งรัดให้เสร็จโดยเร็ว ช้าเดี๋ยวจะโดนไถซ้ำ ก็เกิดเสียงโกลาหลจากการก่อสร้าง

 พระพุทธเจ้าท่านทราบเรื่อง  ก็ส่งพระทั้งหลาย ( หมายความว่าไปเยอะ หรืออาจหมดวัด) ไปที่หน้าพระราชวัง ไปคัดค้านการก่อสร้าง

กูไม่รู้ ..กูป่วย  .. ไม่อยู่   นี่เป็นคำตอบที่พระราชาให้คนไปบอก คือไม่ออกมารับเอกสาร หรือ รับหน้า

พระกลับมาวัดทูลพระพุทธเจ้าว่า  ไม่ได้ให้พบ
พระพุทธเจ้า ส่งอัครสาวก ไปแสดงตนด้วยพลังอันบริสุทธิ์ว่า

..... ไม่เห็นด้วย NO ..... 

คัดค้านการก่อสร้าง อาคารสำหรับ กลุ่มลัทธิความเชื่ออื่น ที่ชอบส่งเสียงรบกวน วันละหลายๆ รอบ

คำตอบก็เหมือนเดิม   ไม่อยู่ ไม่รู้ กูป่วย ........




รุ่งขึ้นพระพุทธเจ้า ทรงนำสงฆ์ 500  รูป ไปที่พระราชวัง  พระองค์นำกำลังสงฆ์ไปเอง เมื่อเสด็จไปถึง พระราชาทรงทราบ ก็จำใจออกไปด้วยตัวเองก็เพราะได้ฝากตัวเป็นศิษย์แล้ว นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมสาวก ทั้ง 500 ฉัน

พระพุทธเจ้า ได้นำเรื่องที่เกิดในชาติก่อน เป็นเรื่องของพระฤาษี ทีมีสมาบัติ 8   สองกลุ่มเข้ามาในเมือง เพื่อเสพอาหารรสเปรี้ยวหวาน บ้าง

มาสองคณะ ก็ไปจองต้นไทรต้นเดียวกัน แต่อยู่กันคนละทิศ  ต่อมาต้นไม้ข้างหนึ่งใบร่วงหมด

กลุ่มที่อยู่ตรงนั้นก็ย้ายไปทับที่ของอีกกลุ่มหนึ่ง ก็เกิดทะเลาะกัน


ที่สุดเรื่องก็ไปถึงพระราชา ก็ตัดสินให้กลุ่มที่อยู่ก่อนอยู่ต่อไป กลุ่มที่ไปแย่งที่ออกไป
เรื่องมันก็คงจะจบลงอย่างเที่ยงตรง อย่างนี้

แต่ไม่ใช่  

เพราะว่า เหล่าฤาษี ที่บำเพ็ญเพียร ยังไม่หมดกิเลสกันทั้งนั้น  ก็เกิดความคิดว่า จะติดสินบนพระราชา 
จึงใช้ตาทิพย์ ดูไปเห็นอาคารร้างของพระเจ้าจักรพรรดิ์ องค์หนึ่ง บอกจะเอาให้กษัตริย์ ให้ท่านตัดสินใหม่

พระราชาก็รับสินบนนั้น แล้วตัดสินใหม่ ให้กลุ่มที่ติดสินบนอยู่ร่วมกันกับกลุ่มแรก ได้

ฤาษีกลุ่มแรก รู้สึกไม่สบายใจ... ว่าเรื่องนี้เป็นอย่างนี้ได้ไง  




รัฐไม่ยุติธรรม  ตัดสินไปแล้ว ก็เอากลับมาตั้งข้อหาใหม่ได้อีก...​อย่างนี้ไม่ได้
ก็ใช้ฤทธิ์ มองไปเห็นจักรแก้ว จึงไปเอามาถวายพระราชา แล้วให้ออกคำสั่งตามอำนาจ ใหม่ว่า ให้ตรงนี้พวกตนอยู่พวกเดียว

พวกหนึ่งตาทิพย์  พวกหนึ่งมีฤทธิ์ ขนาดว่า เอาจักรแก้วมาได้ นี่ไม่ธรรมดาแล้วทั้งคู่ แต่มาทะเลาะด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง แค่ที่นั่ง ที่นอน  

เรื่องที่ดินนี่ก็แปลก  ที่ดินที่คนถวายมาให้ ก็มาทะเลาะกันเพราะที่
ที่ดินที่ใช้ปฏิบัติธรรม จะให้ผู้ติดตามมาใช้ ก็มาวุ่นวายจะยึดกันให้มึนมั่ว
ไม่รู้ไปรับของสินบนข้างไหน ตัดสินกันตามใจ ไม่ใช่ๆๆๆๆ

ผู้ทรงศีลอย่างไรก็ทรงศีล เกิดความรู้สึกละอายใจ ว่า สมบัติบ้านเรือนไม่เอา แต่กลับมาแย่งที่ใต้ต้นไทร นึกได้ ก็ละออกจากที่นั้นกลับป่าหิมพานต์ ไป

เมืองนั้นขาดพระฤาษี  สังคมก็ปั่นป่วน แปรปรวน ถูกไม่รู้ ผิดไม่สน ไม่มีใครสอน  แม้นเทวดา ที่รักษาเมืองก็อยู่ไม่ได้ กรรมเก่ารวมๆ ของคนเมืองนั้น ก็ไปดึงดูดเอาภัยพิบัติมา น้ำท่วม เมืองจมลงสู่ใต้สมุทร เพราะน้ำรอการระบาย ระบายไม่ทัน ก็เลยท่วมเมืองจมหายไป

นี่ถ้าตามสูตรลุงตู่ ก็ต้องบอกว่าคนหนักแผ่นดินมันเยอะไป แต่จากเรื่องนี้ไม่ใช่เยอะ แค่คนเดียวแต่หนักเกินไป ก็จมเมืองลงทะเลได้นะ ลุงนะ 


พระพุทธเจ้าทรงสรุปให้กับ พระราชา ว่า

ชาวแว่นแคว้นภรุรัฐทั้งสิ้น  ต้องถึงความพินาศ เพราะอาศัยความละโมบในสินบน ของพระเจ้าภรุราชเพียงองค์เดียว ด้วยประการฉะนี้
เราได้ทราบว่า พระราชาในภรุรัฐนั้น ได้ทรงประทุษร้ายต่อฤาษีทั้งหลายแล้ว ทรงประสบความวิบัติพร้อมทั้งแว่นแคว้น  เพราะฉะนั้นแล บัณฑิตทั้งหลายจึงไม่สรรเสริญ
การลุอำนาจ แก่ ฉันทาคติบุคคลไม่ควรมีจิตคิดร้าย ควรกล่าวแต่คำที่อิงความจริง




พระราชเมื่อได้ฟังแล้ว ก็สั่งให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปยึดคืนที่ๆ พร้อมของกลาง คืออุปกรณ์ก่อสร้าง แล้วเพิกถอน สั่งรื้ออาคารที่สร้างไปบ้างแล้วออกให้หมด

เอวัง..กันไป

ในเมืองไทย ณ ปี59 นี้ ก็เริ่มมีบางศาสนา ที่ศาสนิกชอบสวดมนต์ออกลำโพง วันละหลายๆ รอบ มาซื้อที่ติดหลังวัด สร้างอาคารประกอบกิจกรรม  ทางราชการ ก็มึนมั่วออกเอกสาร และ อนุญาตให้สร้างได้  แบบนี้จะให้ทำอย่างไร ก็ต้องทำอย่างพระพุทธเจ้าทรงทำไว้ให้ปฏิบัติตาม

คงต้องนิมนต์สงฆ์ทั้งแผ่นดิน ไปถามหาคนอนุมัติ ว่า ยังดีอยู่ไหม..อนุมัติไปได้อย่างไร


อย่างนี้คงต้องออกมาบอกว่า  โอ้ NO


 วิ. 21 กค 59





วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ตอนว่าแต่เขาอิเหนา เอาไปสามร้อยไร่




ตอนว่าแต่เขาอิเหนา เอาไปสามร้อยไร่


บทละครอีกตอนทีร้อนแรง คือ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นซะเอง ในขณะที่พุทธอิสระออกมาเที่ยวฟ้องร้องไปทั่วบ้านเมืองนั้น ตัวเองก็โดนสังคมตรวจพบว่า ฮุบที่ป่าสงวนที่เชียงใหม่ไว้ สามร้อยกว่าไร่ ก็ต้องออกมาแก้เกี้ยว แถ กันไปด้วยคำพูดสวยหรูว่า 

"ต้องขอบคุณตัวเค้า ที่จ่ายตังไปสามล้าน เพื่อซื้อที่มาปลูกป่าให้กรมป่าไม้ สิบปีจะคืน" โห คิดได้ นะ 


มีรายการทางทีวีช่อง 24 ได้ ทำสรุป และอ้างรายการอีกช่องที่สัมภาษณ์ พุทธอิสระ ทำได้ตรงประเด็นดี เลยนำมาเก็บเป็นบทละครจำอวดอีกหนึ่งตอน





กรมป่าไม้ ยืนยัน หลวงปู่พุทธะอิสระ (พระสุวิทย์) ไม่เคยขออนุญาติปลูกป่า ฮุบที่ดินยังมาโกหกอีก


ถอดความจากรายการ จากทีวีช่อง TV24



ผอ.สำนักงานป้องกันและงานรักษาป่า ก็ยืนยัน พุทธอิสระไม่เคยขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนกับกรมป่าไม้ และไม่ทราบด้วยว่าไปซื้อต่อมาจากใคร นะครับ

เพราะไม่มีชาวบ้านเค้าใช้ทำประโยชน์กันแล้ว นะครับ 

ขณะที่เจ้าตัวโยนให้มูลนิธิธรรมอิสระเป็นผู้ชี้แจง หลังจากที่ยืนยันก่อนหน้านี้ด้วยตัวเองว่า ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้แล้ว นะครับ



อ๋อ พูดสองครั้งไม่เหมือนกันหรือนี่ พุทธอิสระ

พิธีกรหญิง : ใช่แล้วก่อนหน้าที่ก็พูดอีกอย่าง มาวันนี้ก็พูดอีกอย่าง

พิธีกรชาย : พูดอีกอย่าง นะฮะ เดี๋ยวเรามาดูตามเนื้อข่าวก่อนดีกว่านะ ท่านผู้ชม ครับความเคลื่อนไหว ของพุทธอิสระมีทุกวัน ติดตามได้ที่นี่ TV24 กัดไม่ปล่อยครับ



นายอรรถพล เจริญชันษา นายอรรถพล เจริญชันษา ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) 



ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการอินไซด์ไทยแลนด์ ของนายดนัย เอกมหาสวัสดิ์โดยยืนยันว่าพุทธอิสระ ไม่ได้ทำหนังสือขออนุญาตใช้ประโยชน์ ในพื้นที่ป่าสงวนจ.เชียงใหม่ จำนวน 315 ไร่



ตามที่พุทธอิสระอ้างว่า มูลนิธิธรรมธรรมอิสระและบริษัทพฤกษเวชของวัดอ้อน้อยเข้าไปซื้อต่อจากชาวบ้าน จำนวนกว่า 3,000,000 บาท แล้วได้อนุญาตได้เข้าไปใช้ประโยชน์จากกรมป่าไม้แล้ว ที่สำคัญ สภาพพื้นที่ดังกล่าวในปัจจุบัน เป็นพื้นที่โล่งเตียน ไม่มีชาวบ้าน เข้าครอบครอง หรือใช้ประโยชน์


ดังนั้นจึงไม่รู้ว่า พุทธอิสระไปซื้อที่ดินในเขตป่าสงวนจากใคร ซื้อจริงหรือไม่ หรือว่าจ่ายเงินให้ใคร 


โดยบอกว่า พื้นที่ดังกล่าว ไม่ใช่พื้นที่สิทธิทำกินในเขตป่าไม้ (สธก) แต่ว่าเป็นพื้นที่ที่กรมป่าไม้มีการผ่อนผันให้กับชาวบ้านจำนวน 53 ราย ในการเข้าไปใช้ประโยชน์ทำกิน ตามมติ ของคณะรัฐมนตรี 


ซึ่งชาวบ้านเองก็สามารถทำกินได้เฉพาะตัวเองเท่านั้น ไม่สามารถซื้อขาย หรือเปลี่ยนมือได้ 


ขณะที่พุทธอิสระก็ เคย ยืนยันก่อนหน้านี้ด้วยว่า การเข้าไปใช้ป่าสงวนในครั้งนี้ ได้รับการอนุญาตจากกรมป่าไม้แล้ว 

แต่มาวันนี้ได้กลับคำที่เคยให้สัมภาษณ์ใหม่ โดยไม่ขอยืนยันว่ามีเอกสารยืนยันเข้าใช้ประโยชน์จากกรมป่าไม้หรือไม่ 


เนื่องจากตัวเองไม่ได้เป็นผู้ซื้อโดยตรงแต่ว่ามูลนิธิธรรมธรรมอิสระกับบริษัทพฤกษเวชของวัดอ้อน้อย เป็นผู้ซื้อ จึงไม่รู้รายละเอียดทั้งหมด รวมถึงประเด็นที่ว่าไปซื้อจากใคร เมื่อไรนั้น ทางด้านพุทธอิสระก็ไม่ยืนยันเหมือนการให้สัมภาษณ์ครั้งแรกอีกเช่นกัน

หลังจากผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ ได้ยืนยันว่า ก่อนหน้านี้ไม่มีชาวบ้านไปใช้ประโยชน์แล้ว จึงไม่รู้ว่าพุทธอิสระไปซื้อมาจากใคร
ขณะเดียวกันเวลา 13.00 น.ของวันนี้ ทางด้านพุทธอิสระจะเดินทางไปพบกับอธิบดีกรมป่าไม้ เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับตัวเอง ในข้อหาบุกรุกป่า เพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการจัดการกับพื้นที่อื่น


เมื่อผู้ดำเนินรายการพยายามสอบถามว่า ในเมื่อพุทธอิสระไม่ได้เป็นผู้ซื้อด้วยตัวเอง แต่ทำไมต้องไปให้กรมป่าไม้ดำเนินคดีกับตัวเอง ซึ่งพุทธอิสระไม่ตอบคำถามโดยตรง บอกแต่เพียงว่า ถึงตัวเขาไม่ได้ซื้อ แต่ได้เป็นผู้เข้าไปใช้ประโยชน์ ก็เป็นเหมือนผู้บุกรุก จึงต้องเข้าไปมอบตัวกับกรมป่าไม้

อีกประเด็นหนึ่งที่พุทธอิสระไม่ตอบคำถามโดยตรง แต่พยายามเบี่ยงเบนประเด็นตลอดเวลาก็คือ เหตุผลที่เข้าไปซื้อที่ดินในเขตป่าสงวน เป็นเพราะต้องการใช้พื้นที่ดังกล่าว ปลูกสมุนไพรบางชนิด เพื่อป้อนให้กับบริษัทพฤกษเวช ใช่หรือไม่

ทั้งหมดจึงถือเป็นอีกหนึ่งเงื่อนงำที่ต้องการพิสูจน์กันต่อไป

ขณะที่พุทธอิสระก็มีการประกาศ พร้อมคืนพื้นที่ให้กับกรมป่าไม้ ทันที หากถูกเรียกคืน แต่ว่าต้องสัญญา ว่าห้ามใครรุกป่าไม้เหมือนกัน ไม่เช่นนั้น จะมีการฟ้องกลับไปยังกรมป่าไม้

นอกจากนี้ทางด้านพุทธอิสระยังบอกอีกว่า หากกรมป่าไม้เอาคืน ก็ไม่มีปัญหา เพราะต้องการให้กับกรมป่าไม้อยู่แล้ว แต่ถ้าเอาคือก็ต้องมารับปากก่อนว่าจะดูแลต้นไม้ เพราะอาตมาจ้างคนดูแล คุณเอาคืนแล้วปล่อยให้คนอื่นไปบุกรุก อาตมาก็ฟ้องกลับกรมป่าไม้เหมือนกัน เพราะอาตมาได้มีการปลูกป่าไว้จนเขียวขจีหมดแล้ว


(อ่านคอมเมนต์ที่คัดมาจากโซเชียล) 

.. ไม่อยากหรอกครับ วางกรวยล้อมที่ดินไว้ก็ไม่มีใครกล้าบุกรุกหรอกครับ

นึกถึงตอนปี 57 นะ

...หากกรมป่าไม้เอาคืน ก็ไม่มีปัญหา อาตมาก็ต้องการคืนให้อยู่แล้ว...​อะไรนะ ง่ายๆ เลยนะท่าน แล้วคดีล่ะ คืออย่างไง

... ในพื้นที่ดังกล่าวมันมีต้นไม้ตรงไหน ที่บอกว่าเขียวขจี เพราะว่ามันเป็นพื้นที่โล่งเตียน จากภาพพื้นที่ปัจจุบัน

... ในกรณีเดียวกันต้องฟ้องร้องคนบุกรุกครับ ไม่ใช่ไปฟ้องกรมป่าไม้ ซึ่งเป็นสมบัติของแผ่นดิน ไม่ต้องมีข้อตกลงการคืน อันนี้ป่าสงวนแห่งชาตินะครับ

.... ที่สามร้อยกว่าไร่ ป่าสงวน ซื้อได้ไง ใหญ่มาจากไหน เจ้าหน้าที่คนดัง ที่บุกวัดไล่พระ แถวเขาใหญ่ และกาญจนบุรีน่ะ ควรเร่งคดีนี้ด้วยนะครับ อย่าสองมาตรฐาน

... อย่าเล่นแต่ฝ่ายตรงข้าม แล้วทำเงียบกับพวกเดียวกันที่ผิดกฏหมาย ออกมาตรวจโดยด่วนครับ

....พลาดเองท่าน ยอมรับผิดบ้างเถอะ ..​


...ด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม ท่านได้บุกรุกเข้าไปแล้ว ขนาดเข้าไปเก็บเห็ดยังโดนติดคุกเลย

...​วัดพระธรรมกายคืนเงินแล้ว ก็ยังผิดพุทธอิสระคืนที่ดินแล้วก็จบเหรอ

อืมม ประเด็นคืนที่ดินแล้วจบ ที่ดินท่านสรยุทธ คืนแล้วก็จบเหมือนกันนะ เขายายเที่ยงนะ ก็เป็นบรรทัดฐานของขบวนการคนดีเค้า คือ คืนแล้วก็จบเลย

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจว่าท้ายที่สุดผลของคดีนี้จะเป็นอย่างไร คืนแล้วจะเงียบหรือมีการดำเนินคดีกับพุทธอิสระหรือเปล่า...

(ตัดเข้าภาพของ รายการคุณดนัย สัมภาษณ์พุทธอิสระผ่านโทรศัพท์ ไม่อยากถอดเสียง รำคาญหูนิดหน่อย เนื้อหาก็ราวๆ ที่พิธีกรสองคนได้ย่อไว้)

พิธีกรได้สรุป ว่า นี่เป็นการสัมภาษณ์ ครั้งแรกที่พุทธอิสระได้บอกชัดเจนว่า ได้ไปซื้อที่ดินมาจากชาวบ้าน ขอใช้พื้นที่จากกรมป่าไม้
แต่วันนี้ กรมป่าไม้ก็มาบอกเองว่า ไม่มีการขออนุญาตใดๆทั้งสิ้น เพราะที่ตรงนั้นชาวบ้านไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ไม่รู้ซื้อจากใคร หรือ ขออนุญาตกับใคร

ไม่ได้บิดเบือนข้อมูลใดๆนี่ตามข่าว อยากให้เร่งตรวจสอบ

เห็นว่าเร่งตรวจสอบจัง ของคุณแม่คุณอนันต์ อัศวโภคิน แลนด์แอนเฮาท์ ก็ต้องคืนที่กันไป ก็ของวัดพระธรรมกาย ก็จะไปยึดที่เค้าอีก

เอ้าผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก แต่ว่าทำผิดแล้วมาอ้างว่าเจตนาดี มันก็ไม่ใช่นะครับท่านผู้ชม


(ถอดความจากสกู๊ปเจาะลึกข้อเท็จจริง พุทธอิสระซื้อที่ ไม่มีเอกสารสิทธิ์)


ในช่วงที่มีการชุมนุม กปปส. กำลังโชติช่วง ปรากฏข่าวหนึ่ง ที่ทำให้แกนนำการชุมนุม อย่างพุทธอิสระ ณ เวทีแจ้งวัฒนะ ต้องมีรอยด่างพร้อย เมื่อมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งระบุว่า พุทธอิสระ มีเอี่ยวกับการซื้อขายที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์ ที่จังหวัดเชียงใหม่

ล่าสุดประเด็นดังกล่าวถูกหยิบขึ้นมาพูดอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ คสช.มีนโยบายทวงคืนผืนป่า

ซึ่งสังคมตั้งคำถามว่า ทวงคืนแต่เฉพาะที่เป็นของฝ่ายตรงข้ามหรือเปล่า นำมาซึ่งการแชร์ข้อความไม่มีเอกสารสิทธิ์ของพุทธอิสระ

ในปี 2557 มีการประท้วงในพื้นที่ ซึ่งถูกระบุว่าเป็นบ้านของพุทธอิสระ แกนนำ กปปส. ที่ตั้งอยู่ที่บริเวณบ้านใหม่ วังผาปูน ตำบลแม่วิง อำเภอแม่วาง

ชาวบ้านระบุว่า พุทธอิสระได้มากว้านซื้อที่ดิน ไม่มีเอกสารสิทธิ์ หลายแปลง จากชาวบ้าน และยังได้บุกรุกสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวร ในพื้นที่สาธารณซึ่งไม่มีโฉนด โดยอ้างว่าจะมีการสร้างสำนักปฏิบัติธรรม แต่สิ่งปลูกสร้างกลับเป็นบ้านหรู ชาวบ้านในพื้นที่รู้สึกไม่สบายใจ

ล่าสุด รายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ช่องสปริงนิวส์ สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับพุทธอิสระ ในประเด็นดังกล่าว
ได้ความว่า พุทธอิสระเคยไปปรารถกับมูลนิธิธรรมอิสระ ว่า อยากให้ภาคเหนือมีป่า มีน้ำใช้ตลอดปี
ทางบริษัทพฤกษเวช ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยาสมุนไพรรักษาโรค ให้กับวัดอ้อน้อย จึงร่วมกับมูลนิธิไปเจรจากับชาวบ้านบริเวณป่าที่ถูกบุกรุกว่า ขอคืนพื้นที่ในส่วนต้นน้ำ โดยจะจ่ายเงินให้กับคนที่ครอบครองที่ดินที่ส่วนใหญ่เป็นครู และข้าราชการเพื่อดำเนินการปลูกป่าให้กับรัฐบาล

( รายการเจาะลึก เสียงอิสระพูดราวๆที่สรุป บอกว่าซื้อที่มาปลูกป่า บลา บลาๆๆ)

ประเด็นคือ พื้นที่อยู่ในป่าสงวนแห่งชาติ ไม่สามารถออกโฉนด ซื้อ ขาย โอนที่ดินได้ แต่ไฉนเลย มูลนิธิธรรมอิสระและบริษัทพฤกษเวช ในเครือของวัดอ้อน้อย จึงเข้าไปใช้ประโยชน์ เหมือนเป็นของตนเอง
ทั้งนี้ นายนำชัย เจียงวรีวงค์ นายอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ณ ขณะนั้น เคยกล่าว่า พื้นที่ซึ่งเป็นข้อพิพาทดังกล่าวไม่อาจครอบครองได้ โดยระบุว่า มูลนิธิธรรมอิสระและบริษัทพฤกษเวช เข้ามาซื้อที่ดินที่ชาวบ้านครอบครองไว้ ในลักษณะที่ซื้อขายกันเอง ทางราชการไม่รับรองอยู่แล้ว เพราะไม่มีเอกสารสิทธิ์ และหากมีการสร้างสำนักปฏิบัติธรรมขึ้นจริง อำเภอก็คงต้องเข้าไปตรวจสอบ นับแต่นี้ต้องมาดูกันว่า

การอ้างเจตนาดี เพื่อทำผิดกฏหมายนั้น ผลจะออกมาเป็นอย่างไร

...จบสกู๊ป...


ล่าสุดนั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ไปตรวจพวกรุกที่ป่าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็อย่าลืมจัดการที่ของพุทธอิสระด้วย อย่าให้เค้าบอกสองมาตรฐานนะ
ก็ให้ลบคำสบประมาทไป ให้ดำเนินการกับทุกคดี อย่างถูกต้องและเที่ยงธรรมแล้วกัน


วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

คุณชายมู่หยงอัยย์





" เฉียวฟงเหนือ มู่หยงใต้" 
วลีเริ่มเรื่อง ความยิ่งใหญ่ของคุณชายมู่หยง 




มู่หยงฟู่ จาก แปดเทพอสูรมังกรฟ้า ของ กิมย้ง



มู่หยงฟู่ วรยุทธ์สูงเยี่ยม ถนัดกลยุทธ์"ยืมหอกสนองผู้ใช้"(ใช้วิชาของคู่ต่อสู้ประมือกับคู่ต่อสู้เอง) และวิชาดาวเคลื่อนดาราคล้อย ถูกขนานนามร่วมกับเฉียวฟงเป็นจอมยุทธอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน


"เฉียวฟงเหนือ มู่หยงใต้"


มีลักษณะหล่อเหลาคมคาย ฉลาดหลักแหลม ฝีมือสูงส่ง นับเป็นมังกรในหมู่มวลมนุษย์
มีพรสวรรค์อีกทั้งยังมีสุดยอดวิชามากมาย



นึกว่าจะมีแต่ในนิยายกำลังภายใน วันนี้ได้เห็นสุดยอดวิชา ยืมหอกสนองผู้ใช้ ช่างลึกล้ำ ช่างลึกล้ำ สมคำร่ำลือ


สองสัปดาห์ก่อน นักบวชทุศีล แห่งสำนักเอ๋อน่อย ได้ข้ามถิ่นไปฟ้องร้องท่านต้าซือแห่งวัดฟ่าซันซือ ที่หน่วยต้าฉ่าง แห่งเมืองค้องหลง ด้วยข้อหาประพฤติมิชอบ ไม่ควบคุมดูแลเหล่าศิษย์ให้กำเริบ ต่อต้านหน่วยงานของบ้านเมือง


นักบวชทุศีล กระหยิ่มยิ้มย่อง พูดไปโบกพัดไป จนคนข้างๆ แทบทนไม่ไหวเกือบโบกหัวอันโล้นเลี่ยนของนักบวชนั้น

นักบวชทุศีล กล่าวกับท่านหัวหน้ากรมต้าฉ่างว่า

" ท่านต้องลุยเข้าไปจับ ไปเลยนะท่าน เอาต้าซือ ออกมาประจานให้ได้ "
เหอ เหอ เหอ เคี๊ยก เคี๊ยก เสียงหัวเราะเสียดแทงหู ยิ่งนัก


หลังจากกลับจากต้าฉ่าง ค้องหลง ถึงสำนักเอ๋อน่อย ยังไม่ทันหายร้อน ถึงกับสะอึก ที่มีใครไม่ปรากฏสังกัดสำนัก ได้มาถามหานายน้อยเพื่อยื่นกระทงให้


"นี่ยังไม่ลอยกระทง จะเอากระทงให้ มาให้กี่กระทงล่ะ " นักบวชทุศีลถาม


ชายชุดเทา ตอบ " นี่แม้เป็นกระทงสำหรับท่าน แต่ข้าไม่ได้เอามาให้ท่าน อย่าเผือก ข้าเอามาให้ นายน้อยแห่งสำนักเอ๋อน่อย "


"นายน้อย ไม่อยู่ ข้าสั่งไว้ให้ไม่อยู่ มีอะไรมอบให้ข้าเลย " นักบวชทุศีล เถียงคอเริ่มเป็นเอ็น


ชายชุดเทา ไร้สังกัด ส่ายหน้า มองด้วยสายตาเหยียดหยามดุจมองแมลงวัน แล้วก็หลีกไป


"ไอ้นี่วอนซะแล้ว เดี๋ยวตืบเลยดีไหม กินดีหมีมาหรือไร กล้ามาเหยียบถึงถิ่น เหอ เหอ เหอ เคี๊ยก เคี๊ยก " นักบวชทุศีลรำพึง


นี่เป็นกระบวนท่าแรก ที่ นักบวชทุศีล เริ่ม งุนงง ว่าในยุทธภพนี้ มีใครที่หาญกล้ามาต่อกร กับยอดวิชามาร


"มันรู้จักข้าน้อยไป " นักบวชทุศีลรำพึง


ใช่ รู้จักน้อยไป คือไม่มีใครรู้เลยดีกว่า ว่า ตัวนี้มันเป็นอะไร จะเป็นคน เป็นนักบวช เป็นอุจจาระฟ้อง หรืออะไร ทำไมถึงได้โด่งดังขึ้นมา จบคับฟ้าเยี่ยงนี้














ปลายฤดูร้อนที่อบอ้าว 
แรม 15 ค่ำ เดือน 7 สองสามวันหลังจากชายชุดเทาได้เหยียบรังสำนักเอ๋อน่อย 

บุรุษหนุ่มในชุดเหลืองเข้ม 
คุณชายมู่หยงอัยย์ ได้ใช้กระบวนท่าที่สอง ยอดวิชายืมหอกสนองผู้ใช้  ที่หายไปจากยุทธภพนานปี กลับมาปรากฏอีกครั้ง


เมื่อนักบวชทุศีล ฟ้องร้องตงฉ่าง ผ่านท่านต้าซือไปถึงศิษย์ 
 มู่หยงอัยย์ ก็ใช้วิชายืมหอกสนองผู้ใช้ ฟ้องร้องตงฉ่างท่านนายน้อยแห่งสำนักอ้อน่อย โทษฐานละเลยปล่อยให้ นักบวชทุศีล ในสังกัดสำนัก ออกมาเห่าหอน ไม่เลือกที่ แถมยังมีไล่กัดชาวบ้านชาวช่อง

................ เอวัง ดีกว่า เหนื่อยแท้...............


สรุปว่า เรื่องราวก็เป็นตามนี้ คือ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ก็ถูกฟ้องฐานไม่ดูแล พระสุวิทย์ ลูกวัดให้เรียบร้อย ไปตามระเบียบ.. ข้อหาเดียวกันกับที่พระสุวิทย์ มาฟ้องหลวงพ่อวัดพระธรรมกาย


ถ้าจะเพิ่มเรื่องนี้อีกนิด ก็ต้องบอกว่า


"เฉียวฟงเหนือ มู่หยงใต้ อัยยะกลาง"


แน่จริงๆ















เนื้อข่าว (4 ก.ค. 59 เวลาประมาณ 15.00 น.) ...


ประมวลภาพการแจ้งความดำเนินดคี "เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม" ในฐานความผิด "เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ" ที่ไม่ทำการห้ามปราบและตักเตือนพระลูกวัด คือ "พระสุวิทย์ ธีรธัมโม (พระพุทธอิสระ)" ที่อาจมีพฤติกรรมล่วงละเมิพระธรรมวินัย คำสั่งและมติของมหาเถรสมาคม ณ สภ.กำแพงแสน


โดยระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ได้ทีทหารที่ดูแลความเรียบร้อยขอให้คุณอัยย์ ยุติการแถลงข่าว หลังอ่านคำแถลงไปได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น