วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เสียงเพรียกหา


วันนี้หลังจากไปงานสลายร่างเพื่อนนักสร้างบารมีท่านหนึ่งแล้ว ก็ไปนั่งสวดมนต์ที่วิหารคด

หน้าเจดีย์พระพุทธเจ้าล้านพระองค์

ราวห้าโมงกว่าๆ ตอนเย็นๆ ลมพัด

แดดยอแสง ลดความรุนแรง แต่ก็ยังมีแสงสวยตกกระทบองค์พระบนเจดีย์ ให้เป็นสีทองอร่าม อย่างที่เคยเป็น


เจดีย์ ไม่เปลี่ยนแปลง
อากาศไม่เปลี่ยนไป ยังอบอุ่นทั้งภายนอก และในใจผู้ไปเคารพสักการะ เสมอ


วันนี้เห็นเพื่อนชาวเมียนมาร์ มากันหลายร้อยคน เดินสงบเสงี่ยม ประทักษิณรอบพระมหาเจดีย์ ในขณะที่ เราๆ กำลังสวดธัมมจัก เสียงดังจากลำโพงเหมือนเคย

มองๆ ไป ปากสวด แต่ใจก็คิดถึงว่าเรามายุคสร้างให้คนรุ่นต่อๆ ไปมาแสวงบุญ เราก็มีส่วนแห่งบุญในฐานะผู้สถาปนาคนนึง 

สาธุ สาธุ สาธุ

คิดถึงวันคืนที่ผ่านมา วันที่เราต้องพยายามบุกเข้ามาสวดมนต์ เข้ามาเฝ้าเจดีย์



วันที่เค้าห้ามเข้า เค้าผลักดันเราออกไป ต้องไปนั่งกินนอนกิน น้ำท่าไม่ต้องอาบกันที่ตลาดฝั่งตรงข้าม วันนั้นใจโหยหา อยากมากราบพระเจดีย์ อยากมาอยู่ตรงหน้าวิหาร อยากปกป้องดูแล....


เสียงสวดมนต์​แม้ไม่หายไปหมด แต่ก็จางๆ ไป เป็นแค่เสียงแผ่วล้า แบบคนใกล้หมดลมหายใจ มองซ้ายขวา หน้าหลัง เก้าอี้ที่ว่างวางไว้ ไร้ผู้คน



แม้เสียงจากลำโพงยังดังอยู่ต่อเนื่อง แต่ก็เหมือนขาดชีวิต ขาดลมหายใจ ขาดมนต์ขลังของบทธัมมจัก

วันนั้น เค้าไม่ให้เข้า เราก็เดินฝ่าท้องนา แบกข้าวของเข้ามา. ปีนกำแพงเข้ามา ขอเข้ามาสวดมนต์ตรงนี้ 

วันนั้นเค้าห้ามเอาข้าวเข้ามา ไม่มีข้าวกิน ก็ไม่เป็นไรขอให้ได้มาสวดมนต์ตรงนี้



วันนั้น วันไหนๆ ถ้าใครห้ามไม่ให้เราทำความดี เราก็จะพยายามฝ่าฟัน ไปทำวัตรสวดมนต์​ สวดธัมมจักของพวกเรา ณ ที่ตรงนี้

แต่ ....​
วันนี้

ไม่มีใครห้ามแล้ว...
ไม่มีใคร ปิดประตูขวางแล้ว...

ความเคารพรักต่อครูบาอาจารย์ ต่อพระรัตนตรัย ของพวกเรา ก็คงอยู่เหมือนเดิม



แต่ทำไม เก้าอี้จึงว่างเปล่า

ทำไม เสียงจึงแผ่วเบา

ทำไม จะต้องให้ใครมาเชียร์ให้เราทำความดี

ทำไม เราจะพร้อมเพรียงกันต่อเมื่อ ถูกห้าม




วันนี้ นั่งสวดไป คิดถึงครูของเราจริงๆ .. ที่ท่านต้องมานั่งเชียร์พวกเราทุกเมื่อเชื่อวัน

วันนี้ นั่งสวดไป นึกถึงเพื่อนพ้องที่ร่วมสร้างบารมีจริงๆ ว่าพวกเรานึกถึงครูพวกเราไหม




ท่านคงคิดถึงพวกเรามากเหมือนกัน...

ถ้าพวกเราคิดถึง สัปดาห์นี้ ก่อนอาสาฬหบูชา เรามาบูชาคุณพระรัตนตรัย คุณของครูของเราที่คอยชี้แนะ คอยผลักดันให้เราทำความดี


ด้วยการมาสวดธัมมจักกันให้เนืองแน่น เหมือนวันเก่าก่อน


ให้ครูของเราได้เห็นว่า พวกเราใจแน่วแน่มั่นคงในการทำความดีไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่า ดินฟ้าอากาศ สิ่งแวดล้อม จิตใจคนทั้งหลายจะอย่างไร


เราก็มาสวดมนต์กันที่หน้าเจดีย์พระพุทธเจ้าล้านพระองค์กัน
ท่านจะได้อยู่ในใจพวกเราทุกคน อย่างสุขใจ


วิ. 25 มิย.60

วันอังคารที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2560

ช้างตาตี่ เสือมีลาย



เคยฟังหลวงพี่รูปหนึ่งท่านเทศน์ เรื่องปัญญา
จำได้ว่าวันนั้น คนฟังมีญาติโยม หนุ่มสาวก็หลายคน เด็กๆ ก็มี ผู้เฒ่าก็เยอะ
ท่านก็พูดเรื่องราว 
เหตุการณ์  ต่างๆ อยู่ๆ ท่านก็ถามว่า 


“ ใครรู้บ้าง ว่าทำไมเสือถึงมีลาย ช้างทำไมตาเล็ก”

ทั้งห้องก็ไม่มีใครตอบอะไร หันมามองหน้ากัน

ท่านก็ยิ้มๆ แล้วก็เริ่มเล่า นิทาน

เรื่องก็มีอยู่ว่า

“กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว สมัยที่ คน กับ สัตว์ยังใช้ภาษาพูดสื่อสารกันได้



เจ้าเสือตัวหนึ่ง ขณะนั้น ตัวเหลืองนวล ขนนุ่ม ยังไม่มีลายแบบสมัยนี้ เดินหาอาหาร เป็นสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ ตามแต่มันจะไปพบเจอตัวอะไรในเวลาที่มันหิวโหย

วันนี้ มันเดินลัดเลาะแนวป่า ท้องที่ส่งเสียงครวญคราง บังคับให้มันเดินเสาะหา สัตว์อะไรที่พอจะทำให้ประทังชีวิตไปได้

มันเห็นก้อนเนื้อมหึมา อยู่ตรงแนวป่า เป็นสัตว์ใหญ่กว่ามันถึงห้าหกเท่า

เป็นช้างใหญ่โตเต็มที่ สมัยนั้น ช้างยังตาโต หนังตึง อ้วนๆ กลมๆ คล้ายหมูตัวใหญ่ๆ

เสือมันมองดูแล้ว เหมือนมองดูเนื้อสเต็กเดินได้ 




มันจึงปรากฏตัว เผชิญหน้ากับเจ้าช้างใหญ่
“ไอ้ช้าง เอ็งจะไปไหน เอ็งมาให้ข้ากินซะดีๆ”

เจ้าช้างซึ่งขณะนั้น กำลังทำงานลากไม้ให้กับควาญช้าง กำลังยุ่งๆ กับการทำงาน หันมาเห็นเสือ ก็ตกใจ

แม้จะมีรูปร่างสูงใหญ่ แต่การสู้กับเจ้าเสือหิวแบบนี้ ไม่น่าจะดี ทั้งยังมี โซ่ล่ามไว้กับซุง อีกด้วย

กลอกตาอันกลมใหญ่ ไปมาแล้วก็นึกว่าต้องหาทางรอดไม่ยอมตายง่ายๆ จึงพูดไปว่า

“ไอ้เสือ เอ็งกินข้าไม่ได้หรอก”

"ทำไมวะ" เสือ งง




"ก็ข้า อยู่ใต้อำนาจ ของคน แล้ว เอ็งไม่เห็นเหรอนี่ โซ่ ที่ตัวข้า มันมัดข้าไว้กับซุงเนี่ย"

"อะไรวะ ตัวเอ็งก็โตใหญ่ ทำไมให้ไอ้คน ตัวนิดเดียวมันล่ามได้"

"คนตัวนิดเดียวก็จริง ข้าก็ไม่กล้าเหยียบ ไม่กล้าทำร้ายมันหรอก"


"ทำไม". ไอ้เสือเริ่มสงสัย

"ก็มันมีอาวุธวิเศษ ใครโดนไปต้องตายแน่นอน"

"อาวุธอะไรของมันวะ"

"มันเรียกว่า ปัญญา เอ็งไม่เคยได้ยินเหรอ"

"อะไรวะ...... ไอ้ปัญญา   

มันเป็นเขี้ยวแหลมอย่างข้าไหม"

"ฮึ"

"มันคมเหมือนคมเล็บข้าไหม". 


"ฮึ"

มันปราดเปรียวว่องไว ใครๆ ก็จับมันไม่ได้อย่างข้าไหม

"ฮึ"

"เฮ้ยย อะไรของเอ็งวะไอ้ช้าง ฮึอย่างเดียว มันเป็นอย่างไง" เสือกล่าวด้วยเสียงโกรธๆ





ช้างเริ่มพรรณา นำความคิดไปสู่อดีต "ข้าก็บอกไม่ถูกหรอก ข้ารู้เพียงว่า ข้าเดินเล่นในป่า กับเพื่อนพ้องข้า จู่ๆ ก็เกิดเหตุวุ่นวาย มันวุ่นไปหมดทั้งป่า ข้ารู้สึกตัวอีกที ก็มาลากไม้ให้คนนี่แล้ว
แม้แต่เห็นยังไม่เห็นเลย ไอ้ตัวปัญญาของคนเนี่ย. 
มันน่ากลัวมาก
ข้าว่านะไอ้เสือ เอ็งรีบๆ หลบไปซะตอนนี้ ไม่งั้นเอ็งไม่รอดแน่ คงจะโดนปัญญาของคนจัดการ" ช้างกล่าวทิ้งทาย แบบห่วงๆ


เสือเกิดความรู้สึกเหมือนโดนดูถูกอย่างรุนแรง มันก็เคยเห็นคน เดินไปเดินมา ตัวเล็กนิดเดียวกินไม่น่าจะอิ่ม ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหน อย่างไงก็รับไม่ได้กับเรื่องที่ไอ้ช้างบอก

เรื่องที่จะกินช้างเป็นอาหารมื้อนี้ ตอนนี้มีความรู้สึกอยากรู้ อยากเอาชนะ มากกว่าหิว

"ไอ้ช้าง เดี๋ยวข้าจะจัดการคนให้เอ็งดู เอ็งคอยดูนะ "

จากนั้น เสือก็หลบไปหมอบอยู่ในแนวป่าไม่ไกลไม่ใกล้กับที่เจ้าช้างยืน คอยคน

ส่วนช้างกลัวเสือจะทำร้าย ก็ไม่กล้าขยับไปไหน


นายควาญช้าง ก็เริ่มสงสัยว่า ช้างที่ลากซุงไปทำไมไม่กลับมาเสียที เลยเวลาไปมากแล้ว ในที่สุดก็เดินไปตามหา ว่าเกิดอะไรกับช้างลากซุงของตน




เห็นแต่ไกลว่า ช้างหยุดยืนนิ่งๆ ไม่ได้มีอันตรายก็เบาใจ กำลังจะเดินไปบ่นกับเจ้าช้างว่าทำไมไม่ลากซุง ไม่ช่วยกันทำงาน

จู่ๆ เสือก็กระโดดออกมาจากแนวป่า ขึ้นคร่อมร่างนายควาญช้างไว้
"ไอ้ช้าง คนของเอ็งมันไม่เห็นมีน้ำยาอะไร นี่ไง 
เสร็จข้าแล้ว เดี๋ยวข้าจะกินมัน ให้เอ็งดู

ไหนล่ะ ไอ้ปัญญาของมันที่ว่าวิเศษนักวิเศษหนาของเอ็ง"

เสือร้ายจ้องเขม็งที่คนที่อยู่ใต้กรงเล็บ
"เอ็งระวังไว้เถอะ" ช้างตะโกนมา

ควาญช้างได้ยินดังนั้น ด้วยความเป็นผู้มีปัญญา 
ก็พอเดาเรื่องได้บางส่วน 
คิดว่า เจ้าเสือ กับ ช้างคงสงสัยเรื่องปัญญาของคน ซะแล้ว 
จึงพูดออกไปว่า

"ไอ้เสือ เอ็งนี่ไม่รู้อะไรซะแล้ว ถ้ายังไม่อยากตายให้รีบหนีไป ก่อนที่ข้าจะเอาปัญญาออกมา"



เสือ หันมามองที่คนที่นอนอยู่ใต้กรงเล็บของมัน ทำไมจึงยังกล้าที่จะพูดอย่างนี้ แต่ด้วยความทรนงตัวว่า ไม่เคยแพ้ใคร ก็ท้าทายคน

"ไหนล่ะ ตัวปัญญาของเอ็ง เรียกมันมาเลย ข้าไม่กลัวมันหรอก เดี๋ยวจะจัดการกับมันให้สิ้นซาก"


"ไอ้เสือ ข้าจะบอกเอ็งเอาบุญ ตัวปัญญานี่มันจัดการเอ็ง เอ็งตายก็ยังไม่รู้ตัวเลย เอ็งอย่าเจอมันดีกว่า" คนกล่าว


เสือหายใจฟึดฟัด คำรามเสียงก้องด้วยความไม่พอใจ มีมานะ ถือตัวว่า ข้านี่เก่งกล้าสามารถ พวกเอ็งมัน อาหารเดินได้ของข้า จะมาจัดการข้า ด้วยตัวปัญญา หน้าตาเป็นอย่างไง

มันเอากรงเล็บกดไปที่ตัวของคนแล้วก็พูดด้วยเสียงคำรามเกรี้ยวกราดว่า

"เอ็งรีบเรืยกมันมาเลย ไม่งั้นข้าจะกินเอ็งเดี๋ยวนี้"


นายควาญช้าง ถอนหายใจ เสียงดัง
"เฮ้ออออ... ข้าสงสารเอ็งไอ้เสือ
เอ็งรีบๆ กินข้าเถอะ ก่อนที่ปัญญามันจะมา"


เสือเต้นเร่าๆๆ. "มึงเรียกมันมาเดี๋ยวนี้เลย...โฮฮฮกกก"

"เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวข้าไปตามมันมา เอ็งรออยู่นี่ก่อน แป๊บเดียวแหละ"

เสือ กำลังโกรธจัดจนตาเริ่มแดง แวววาว

"ได้.. เอ็งรีบไปเลย "


เออ แต่ข้าว่ากว่าจะกลับมา เอ็งคงหนีไปแล้วดิ เดี๋ยวก็เสียเที่ยวข้าอีก

"โฮฮฮกกก เสืออย่างข้า มีศักดิ์ศรีโว้ย ข้าไม่หนีไปไหน จะรออยู่นี่แหละ"


"เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าล่ามเจ้าไว้ก่อน กันเจ้าเปลี่ยนใจ เดี๋ยวเจ้าตัวปัญญามา ข้าค่อยแก้มัดให้เจ้าไปสู้กันกะมัน"



เสือกำลังหน้ามืด กำลังโกรธจัด ไม่ได้คิดอะไร ก็รีบตกลง

คนก็ไปเอาเชือกบนหลังช้างมามัดขาเจ้าเสือไว้ทั้งสี่ข้าง กับต้นไม้

เจ้าช้างก็เริ่มขบขัน กับการที่ได้เห็น ได้ฟัง แต่มันก็ต้องกลั้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เพราะกลัวเสียแผน เดี๋ยวเจ้าเสือไม่ถูกจัดการ มันจะกลายเป็นอาหารเสือเสียเอง

พอมาถึงตอนที่เสือถูกล่ามไว้แล้ว มันจึงทนไม่ไหวเริ่มหัวเราะเสียงดัง

ควาญช้างมัดเสือเป็นที่แน่นหนาแล้ว ก็ลุกขึ้นยืนมองดู เจ้าเพชรฆาตตัวเหลือง ที่โตเต็มที่ตัวนี้ โตแต่ตัวแต่สมองมีน้อย


"เอ็งไม่รีบไปตามปัญญามาวะ มายืนทำไรตรงนี้"

"เออ รอเดี๋ยว แป๊บเดียวนะ"

ว่าแล้วคนก็หายเข้าไปในแนวป่า ตัดเอากิ่งหวายติดมือมา


เสือเห็นคนเดินเข้าไปแป๊บเดียวเดินออกมา ก็มาคนเดียวเหมือนเดิม

"ไหนล่ะวะ ปัญญาของเอ็ง"

"อ้าว ไอ้เสือ.. ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ ป่านนี้แล้ว ปัญญามันมาตั้งนานแล้ว"

"ไหน เอ็งเรียกมันออกมาสู้กับข้าเลย รีบแก้มัดข้า"
คนยืนยิ้มๆ อยู่ตรงนั้น ไอ้ช้างเริ่มส่งเสียงหัวเราะแรงขึ้น

"นี่ไงเล่า ปัญญา" ควาญช้างพูดไป ก็เอาหวายหวดไปบนร่างกายไอ้เสือร้ายนั้น

"นี่ไง นี่ไง" ควับ ควับ ๆ ๆ   ๆ ๆ . ..ๆ. ..ๆๆๆๆ....ๆ.ๆ..ๆๆ.



"เฮ้ย ปล่อยข้า ไอ้ขี้โกงงง โหยยย"

"นี่แหละ ปัญญาของคน เอ็งจะได้จำไว้ ไอ้เสือโง่"

หวดฟาด หวายไป ก็ พูดไป

เจ้าเสือกว่าจะรู้ว่า เสียท่าให้กับคนซะแล้ว เนื้อตัวก็ลายพร้อยไปด้วยบาดแผล
เจ้าช้าง หัวเราะจนเนื้อย่น. ตาปิด จนกระทั่งทุกวันนี้ ตายังไม่โตกลับเหมือนเดิม เนื้อตัวก็ยังย่นเพราะหัวเราะคราวนั้นนั่นเอง



……

จบนิทานเรื่องนี้

ท่านก็สรุปว่า คนเราเมื่อเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้นมาในชีวิต ควรใช้สติ ปัญญา ตรึกตรองแก้ปัญหา ไม่ควรไปโทษใครต่อใคร เพราะในทุกๆ ปัญหาตัวเราเองก็เป็นผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ 

เราไม่ควรขยายปัญหา ด้วยการพูดป้ายความผิดไปที่อื่น หรือเที่ยวตระเวนหาคนผิดมารับ แต่ควรตั้งใจแก้ปัญหานั้นเสียก่อน ด้วยปัญญา


ปัญญา มีอยู่ในตัวเรา เป็นแสงสว่างที่จะส่องไปในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้เห็นแจ้ง ถึงทางออก ทางได้ ทางเสีย

วิธีแก้สถานการณ์ วิธีดำเนินงาน การติดต่อประสานงานเรื่องผู้ร่วมงาน ข้าวของเครื่องใช้

ถ้ามีปัญญาแล้ว ก็สามารถนำสิ่งเหล่านี้ออกมาใช้ได้หมดเต็มประสิทธิภาพ



แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังยกย่องปัญญาว่า เป็นคุณธรรมอันดับแรก ที่สำคัญที่สุด

เพราะผู้มีปัญญา แม้อยู่ในโลกนี้ ก็สามารถประคองตนให้พ้นภัย ประกอบสัมมาอาชีพ นำพาชีวิตให้เจริญรุ่งเรือง พร้อมกับ สั่งสมบุญบารมี เป็นเสบียงเดินทางไปในสังสารวัฏ ในโลกหน้า ไม่เสียชาติเกิดมาฟรี

ปัญญา มีอยู่ในทุกผู้คน แต่ที่เรานำออกมาใช้ไม่ได้หมด ก็เพราะความมืดแห่งอวิชชา ที่เข้าบดบังดวงปัญญาของเราเอาไว้

วิธีเดียวที่จะทำลายความมืดนั้นให้หมดไป ก็ต้องอาศัยการเจริญภาวนา เป็นเนืองนิจ ให้แสงสว่างแห่งปัญญาส่องสว่าง จากใจของเรา ขับไล่ความมืดบอดของอวิชชาให้มลายหายสูญ

เมื่อนั้นเราจะเห็นโลกตามความเป็นจริง

ไม่ติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข. หรือไม่ทุกข์ใจไปกับ การตกต่ำเสื่อมทรัพย์ หรือ ตำแหน่งหน้าที่ยศถาบรรดาศักดิ์ คำดูถูกนินทา หรือความทุกข์ต่างๆ ก็จะเห็นเป็นดุจดั่ง สายน้ำแห่งชีวิตที่เพียงไหลผ่านไป แล้วก็ผ่านไป ไม่จีรังทั้งสิ้น

ดังนั้นควรหมั่นเจริญภาวนา เอาปัญญามาเป็นสมบัติประจำตัวกันทุกคน

วิ. 18 เมษา 60

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สิ้นหวัง

ถึงบรรดา ลุงๆ ทั้งหลาย

คุณจำวันเวลาที่ คุณลุงทั้งหลาย ยังเป็นหลานๆ ได้ไหม

เวลาที่มาถึง ทางแยกของชีวิต ว่าจะต้องเลือกทำ เลือกเรียน เลือกวิชา เลือกโรงเรียน

เวลาที่พยายามพากเพียรเขียนอ่าน เป็นเดือน เป็นปี
เวลาที่ทดสอบความรู้
เวลาที่เปิดเทอม แล้ว เปลี่ยนชั้น เปลี่ยนห้อง


แล้วมองไปรอบตัว เพื่อนเก่าบ้าง เพื่อนใหม่บ้าง มาเจอกัน
แล้วก็เริ่มใหม่ในการเลือก เลือก เลือก

คุณมีโอกาส เลือกหลายครั้ง จนกระทั่งคุณมาถึงวันนี้ เป็นผู้มีอำนาจทั้งหลาย ที่ใกล้จะไม่มีทางเลือกแล้ว

แล้วตอนนี้คุณกำลังทำอะไร


สามเณร ผู้มาบวชในพระศาสนา
บ้างบางท่านก็ตั้งใจเลือกมาเรียนพระศาสนา เพราะศรัทธา
บ้างบางท่านเพราะโอกาสเรียนสายสามัญมันไม่อำนวย
บ้างบางท่านไม่มีโอกาสใดๆ ให้เดิน ก็ได้อาศัยพระศาสนา

เช้า สาย บ่าย ค่ำ ในมือจะมีหนังสือบาลี เล่มเล็กๆ เดินไปท่องไป
ท่องจนกว่าจะจำได้ทั้งเล่ม
เพราะท่านเริ่มมีความหวัง
หวังว่า จะเป็นผู้ทรงความรู้ ในทางศาสนา
อ่าน ออก แปลได้ ในพระสัทธรรม

จะได้ดำรงธรรมของพระพุทธเจ้าให้คงอยู่


ความทุ่มเทตลอดปี เพื่อวันเดียว วัดผลในการสอบสนามหลวง
มันไม่มีทางเลือกมากนัก ในการที่จะเป็นผู้ทรงธรรม

แต่ท่านก็ได้เดินมาสายนี้แล้ว
ทุ่มเทแล้ว
พากเพียรแล้ว
มีความสุขในการร่ำเรียน


แต่
คนอย่างลุงๆ ที่ใช้เวลาบนโลกนี้ มานานแล้วนั้น
กลับช่วงชิงโอกาสทางเลือกของท่านไป
ตัดโอกาส ไม่ให้ท่านออกไปสอบ

ด้วยเหตุผล ที่ท่านฟังอย่างไงก็ไม่เข้าใจ

ปรองดอง แต่จัดเต็ม
ให้ทำตามกฏที่ลุงบอกว่านี่เป็นกฏ  แต่ลุงกะคนของลุงไม่ทำตามกฏนั้น




ปีหน้า จะเป็นอย่างไร
สามเณรเบื่อหน่ายไม่อยากเรียนซ้ำ
แสวงหาทางอื่น ฆ่าเวลา
ส่งผลไปถึงส่วนรวม โรงเรียนที่ไม่สามารถทำให้นักเรียนมีความสุข
ก็ไปหาทางอื่นทำกัน จนถึงกับเลิกเรียนไป

ในที่สุดบุคลกรของพระศาสนาขาดคุณภาพ
พระศาสนาขาดบุคลากร
ผลก็ตกไปที่ญาติโยม ก็จะไม่มีใครไปอธิบายให้ฟังถึงธรรมะที่ลึกซึ้ง

ก็ตีความแบบงูๆ ปลาๆ มั่วกันแบบปัจจุบัน

ว่าทำดีแล้ว ไม่เบียดเบียนใคร ถือว่าดีแล้ว
โกหกเพื่อให้คนอื่นไม่เจ็บก็ดีแล้ว ดีแล้ว

มันดีตรงไหน ไม่มีดีสักเรื่อง

ลุงครับ...  ปล่อยให้สามเณรไปสอบเถอะ จะจับเด็กทำไม
สามเณรผิด เพราะอะไร ลุงมาตอบหน่อยได้ไหม

วิ.20 กพ.60

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เสียงลมรำเพย




ไอ้ทิด สวดมนต์เสร็จแล้ว มาช่วยแม่ยกหม้อข้าวด้วย

ครับแม่


อากาศยามเช้าเย็นสบาย ควันหอมกรุ่น จากข้าวสวย ทำให้สายตาพร่า มองเห็นผักต้ม กับปลาย่าง ไม่ค่อยชัดนัก


มือน้อยๆ ของหลานสองคน ลูกพี่สาว แย่งเศษผ้ากันอยู่ข้างวง


อั้มมม.. ดูซิพี่แกมีลูกก็เอามาให้แม่เลี้ยง

อย่าแย่งกัน...!


แม่เมื่อวานเกี่ยวเสร็จแล้ว วันนี้ฉันกลับไปทำงานนะแม่


มือของแม่ที่กำลังป้อนข้าวหลาน หยุดชะงักเล็กน้อย

เป็นไงบ้างละ

แม่ถามดวงตาเหม่อลอย


ตำรวจใหม่ ก็ดีแม่ เท่ห์ดี สาวๆ ชอบเครื่องแบบ ..แม่


พูดให้ขำๆ แต่ ทั้งสองคน ไม่มีแววจะขบขัน แม้มีเสียงหัวเราะหึหึ ในลำคอก็ตาม

เอ็งจะไปทำทำไม ถ้ามันหนักนัก เอ็งก็กลับมาทำนากับแม่ก็ได้ ที่นาเยอะแยะ ไม่มีใครทำต่อ

เอาไว้พรุ่งนี้นะแม่ ค่อยคิด..





ไอ้น้อง แต่งตัวไวๆ เด็กใหม่ ต้องผูกผ้าอ้อมให้ไหมวะ เด็กใหม่ทำอะไรให้มันว่องไวหน่อย 

อย่ามัวแต่ติดผ้าอ้อม ขยับก้นให้มันไวๆ ไอ้พวกนี้....




นี่มันต้องฝึก อีกเยอะไหมเนี่ย เพื่อนตำรวจใหม่ด้วยกันบ่น

เอ็งชอบ ตอนไหน

ตอนฝึกยิงปืนดิ

ทำไม

ข้า นึกว่าเป้ายิง เป็นคนที่มันชอบด่า

ใครวะ

…. มีแต่รอยยิ้มน้อย..ตอบมา





มีเรื่องอะไร เหรอ โทรมาเวลานี้ หลานๆ มันนอนหมดแล้ว เดี๋ยวมันตื่นมาอีก

แม่ พรุ่งนี้จะไปวัดหรือเปล่า

ไปดิ คืนนี้เดินทาง คงถึงเช้า

แม่จะไปเหรอ

เอ้า เอ็งจะถามทำไม ก็เคยไปด้วยกันบ่อยๆ

แม่ไปรอบนี้สักกี่วัน

ไม่รู้เหมือนกัน อยู่นี่ก็ไม่ได้ทำอะไร เกี่ยวเสร็จแล้ว ก็ว่างๆ ไปสวดมนต์ อยู่กับหลวงพ่อดีกว่า


แม่ไม่ไปไม่ได้เหรอ

เอ็งจะทำไม มีอะไรเหรอ


อืมม.. แม่ไปก็ระวังตัวด้วยนะ สถานการณ์มันไม่ค่อยดี

ไม่ดีอย่างไงวะ ไอ้ทิด


ไปสวดมนต์ สวดกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ของปู่เอ็งแล้ว มันจะไม่ดีตรงไหน

แม่.. ฝากดูแลหลวงพ่อด้วยละกันครับ

เออ..






ยืนตรงๆ ให้เข้มแข็ง อย่าอ่อนปวกเปียก ..​เสียงหัวหน้า ดังอยู่หน้าแถว


เฮ้ยไอ้อ่อน..

อะไรวะ

มันบ้าอะไรกันวะนี่ ให้แหกขี้ตามายืนแถวเฝ้ารั้ววัดเนี่ย

เออว่ะ กูก็ไม่รู้




สายตามองดูไฟทางที่ฉายอยู่ยอดเสา ลมนิ่งๆ เสียงยุงหึ่งๆ จนน่ารำคาญ

นอนก็ไม่ได้นอน เรียกรวมตัวห้าทุ่ม เดินทางกลางดึกด้วยความงุนงง ว่าจะไปจัดการกับใคร ระดมตำรวจเป็นพัน


นี่ก็ยืนแถวมาสามชั่วโมงแล้วยังไม่สว่างเลย

หนีทำนา เพราะว่ายืนเกี่ยวข้าวทั้งวัน หลังขดหลังแข็ง

จับกุ้ง หอย ปู ปลา มากินหัวคันนา

ก็ยังดีกว่า ให้มาจับพระ ทำไมไม่รู้จักบาปกรรมกัน


นี่ป่านนี้แม่กับหลาน คงอยู่ข้างในนี่แหละ

เฮ้ออ

คิดๆ ดู นี่อิสรภาพในการคิดแยกผิดชอบชั่วดี ของเราไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้เลยนี่นา อุตส่าห์บวชเรียน ผิดก็รู้ ชอบก็เห็น แต่อยู่ใต้คำสั่งแบบนี้



สั่งให้ไปทำลาย ทำร้าย แบบนี้

เฮ้ออ. คิดแล้วแย่นะ กลับไปทำนา เป็นนายตัวเองดีกว่าไหม



เอาไว้พรุ่งนี้ละกัน...


วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ผลของสื่อที่ทำหน้าที่สุนัขรับใช้

วันนี้ได้อ่านบทความของคนไทยที่ไปใช้ชีวิตที่เยอรมันแต่ยังติดตามข่าวสารเมืองไทย มีความรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์เยอรมันอย่างดี ห่วงใยบ้านเมืองไทย วิเคราะห์เปรียบเทียบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต กับปัจจุบันได้อย่างน่าคิด ลองอ่านดู


 01010101010101010101010101010101010101010110


ยิ่งกว่า ธรรมกาย ล้างสมอง !!!!!! มันคือใครกัน ?????

โคนันติดตามข่าววัดใหญ่แถวปทุมมาตั้งแต่เริ่มต้น ยิ่งนานวันก็ยิ่งสนใจเคสนี้มากขึ้นเรื่อยๆจึงเริ่มศึกษาทั้งเรื่องราวเชิงลึก และ เชิงกฏหมาย

ข่าววัดนี้กินพื้นที่สื่อทุกแขนงทั้งในโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และโลกโซเชียลมานานหลายเดือนและมีทีท่าว่าจะครองพื้นที่ในสังคมสื่อได้อีกยาวนาน จากการที่ได้ศึกษาเคสนี้มาตั้งแต่ต้นจึงทำให้โคนันคิดถึงประวัติศาสตร์ สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีประเทศเยอรมนีเป็นแกนนำ ลองมาดูอีกมุมมองของประวัติศาสตร์โลกกัน




คำว่า “ฮิตเลอร์” แทบจะเป็นคำต้องห้ามในประเทศเยอรมนี หากคุณด่าใครด้วยคำนี้ คุณอาจจะโดนชก หรือถึงขั้นถูกฟ้องร้องเลยทีเดียว เพราะอะไร ทำไมคำๆนี้ถึงมีอิทธิพลต่อจิตใจชาวเยอรมันอย่างมหาศาล

หลังจากที่ศึกษาประวัติศาสตร์เยอรมันอย่างลึกซึ้งจึงถึงบางอ้อ จะมีชาวโลกประเทศอื่นๆสักกี่คนที่รู้ว่า จริงๆแล้วประชาชนชาวเยอรมันไม่ใช่คนโหดร้าย หรือโหดเหี้ยม สิ่งที่ทำให้พวกเขา ช็อค!!!!!!! หลังจากที่สงครามจบลง คือการที่ทหารอเมริกันมาเปิดโปง การสังหารหมู่ของฮิตเลอร์สู่สายตาชาวโลก และแน่นอน สายตาชาวเยอรมันไปพร้อมๆกัน นั้นหมายความว่า ชาวเยอรมันส่วนใหญ่ ก็เพิ่งได้รับรู้ถึงความสยองนี้พร้อมๆกับชาวโลกอื่นๆ แล้วอะไรละที่ปิดตาพวกเขา ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่รู้เลยว่าระหว่างสงคราม มีการสังหารหมู่เกิดขึ้นจากผู้นำของตัวเอง ถ้าไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า “สื่อ”



ในสมัยนั้นสื่อเยอรมันทุกแขนงอยู่ใต้อำนาจมืด ขออภัย เรียกว่าอำนาจรัฐจะดีกว่า (หรือที่เรียกในภาษาเยอรมันว่า Pressezensur) หน้าที่ของสื่อในสมัยนั้นมิใช่การรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคม แต่เป็นการกุมบังเหียนความคิดและความเชื่อของประชาชนหมู่มากในประเทศ จูงจมูกคนให้เชื่อในสิ่งที่สื่อเขียนและประโคมข่าว ซึ่งแน่นอน ในสมัยนั้นไม่มีการลงข่าวเกี่ยวกับการสังหารหมู่ ชาวเยอรมันส่วนใหญ่จึงถูกปิดหูปิดตา และไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในประเทศตัวเอง

เคสนี้เมื่อเกือบ 80 ปีที่แล้ว ทำให้นึกถึง สื่อในประเทศไทยทุกวันนี้ ว่าไฉนจึงได้รับอิธิพลการทำหน้าที่สื่อเฉกเช่นสมัยฮิตเลอร์ โคนันเดินทางมาพิสูจน์หลายๆอย่างที่วัดใหญ่แถวปทุม ก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นคนมาวัดนี้เยอะมากจริงๆ คำนวนคร่าวๆน่าจะเรือนหมื่น ในขณะที่ สื่อบางฉบับเพิ่งออกข่าวว่า วัดเงียบเหงาแล้วถ่ายรูปถนนหน้าวัดว่างๆไปลงข่าว หรือจะเป็นข่าวจากสำนักข่าวดัง ออกข่าวว่า จีวรเปื้อนเลือด พยายามสร้างภาพว่าพระจะใช้ความรุนแรง พอมาดูกับตา ก็เห็นพระมานั่งสวดมนต์ ทักทายโยมอย่างยิ้มแย้ม 


ที่น่าเสียดายมากที่สุดคือ เหตุการณ์นี้ซ้ำรอยประวัติศาสตร์ฮิตเลอร์ ตรงที่ มีคนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ถูกสื่อจูงจมูกและเชื่อข่าวโดยที่ไม่คิดจะมาดูด้วยตาตัวเอง ด่าและแอนตี้วัดนี้อย่างรุนแรง เคยอ่านเจอในโซเชียลบ่อยครั้งว่า ธรรมกายล้างสมอง ณ วันนี้บอกได้เลยว่า คงไม่ใช่ธรรมกายแล้วละ ที่ล้างสมองและปิดหูปิดตาคนส่วนใหญ่ สิ่งที่โคนันไม่อยากเห็นคือ คนส่วนใหญ่เสียใจในภายหลังเพราะเชื่อโดยไม่ได้มาพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง

ประเทศไทย 2016 = เยอรมนี 1939




โคนัน เยอรมนี

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ปากท้องหรือคุณธรรม

เราเพิ่งผ่านมหกรรมกีฬาสีมาไม่นาน ที่แข่งตั้งนานสองนาน 
แต่ยามหน้าสนามเป็นผู้ชนะครองถ้วย . เฮ้..

ก็ดีเหมือนกัน

ตอนนี้บ้านเมือง..ก็กำลังจะปิดตัวเอง ใช่ไหม 

1 มค. ปีใหม่ 60 นี้ นสพ.บ้านเมืองประกาศปิด

ก็ปิดไป ไอ้ที่เหลืออยู่ ก็คงกำลังตามๆ กันไป ในสภาวะไม่มีโฆษณาอย่างนี้

ตอนนี้ก็ได้อาศัยข่าววัดพอหาทานไปได้ ... เฮ้ออ

ก็ถือว่าวัดช่วยก็แล้วกันนะ  
แม้จะเอาอะไรมาป้ายวัด จนเลอะเทอะ ตามล้างกันไม่ไหวอย่างนี้ ก็ไม่เป็นไรหรอก ทนได้ ขอให้พ่อแม่พี่น้องพวกคุณสื่อทั้งหลาย ไม่อดตาย พอเอาบาปไปแลกข้าวมาทานประทังชีวิตไปพลางๆ ก็แล้วกัน

วันนี้ไปเห็นวีดีโอในยูทูป ขึ้นต้นเรื่องว่า 
"อย่าตัดสินคนด้วยภาพถ่ายเพียงใบเดียว"




ภาพที่เห็น ทหารคนหนึ่งยิงคนที่ถูกมัดมือไปข้างหลังที่ศีรษะ 

คุณรู้ไหมว่า ภาพนี้ทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง... 
คุณเห็นแล้ว คุณรู้สึกเลยใช่ไหม.. 
คุณคิดเลยว่า ใครผิดเลย
ผิดแน่ๆ
ใช่แน่
เลวมากกก

คุณตัดสินทันทีเลยใช่ไหม ว่าใครถูกใครผิด 
คุณตัดสินได้อย่างไง ในเมื่อคุณไม่มีข้อมูลอะไรเลย

คำอธิบายใต้ภาพนี้ คือ February 1, 1968. South Vietnam police chief Nguyen Ngoc Loan shots a young man, whom he suspects to be a Viet Kong soldier.
เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1968 .ที่เวียดนามใต้ นายตำรวจชื่อNguyen Ngoc Loan (เหงียน ง๊อค โลน) ยิงที่ศีรษะชายที่จับได้ว่าเป็นทหารเวียดกง

เรื่องราวอย่างย่อคือ

Associated Press Photographer Eddie Adams took this famous picture February 1, 1968 at the same instant that Brig. Gen. Nguyen Ngoc Loan, South Vietnamese national police chief, executed a Viet Cong officer with a single shot.

But photographs like these turned the public against the Vietnam War when they were first shown. Many people were so outraged they started a great Peace Movement. There were huge street demonstrations by American men and women of all ages. But young people have been protesting the loudest. Students held massive demonstrations against the draft. Men as young as nineteen were drafted, or forced into the army. Some protestors got killed.


นักข่าวสงครามชื่อ เอ็ดดี้ อดัมส์ ได้รับรางวัล( พลูลิสเซอร์) จากภาพนี้ 
1 กพ. 1968 นายตำรวจชื่อเหงียนง๊อกโลน หัวหน้าตำรวจแห่งชาติเวียดนามใต้ วิสามัญเจ้าหน้าที่เวียดกง ด้วยกระสุนนัดเดียว

แต่ภาพนี้กลับทำให้ฝูงชน(ชาวอเมริกัน) ต่อต้านสงครามเวียดนาม เกิดการเคลื่อนไหว ของคนทุกเพศทุกวัย ไปตามถนน เกิดการประท้วง การสมัครไปเป็นทหารไปออกรบ และบ้างก็ถูกฆ่าในขณะประท้วง

........

เบื้องหลังของเรื่องราวจริง(ตามที่วีดีโอเล่า)ก็คือ 

เวียดกงคนนี้ นำกำลังทหารเวียดกงใช้รถถัง บุกเข้าไปสถานที่ราชการ ที่มีทั้งข้าราชการ และ ครอบครัวของเจ้าหน้าที่อยู่ รวมทั้งของนายตำรวจท่านนี้ด้วย

ทหารเวียดกงได้ ฆ่าทุกคนที่พบ ร่วมครึ่งร้อย ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก คนแก่ ชาย หญิง รวมทั้งครอบครัวของนายตำรวจนี้ มีทั้งภรรยาและลูกเล็กๆ รวมถึงแม่ของเค้าโดยการเชือดคอ

ทหารเวียดนามใต้ ต่อสู้และสามารถจับตัวผู้นำได้ ขณะที่ทำการจับได้นั้น ด้วยความแค้นนายตำรวจท่านนี้ก็ทำตามภาพที่เกิดขึ้น

....

เมื่อภาพนี้ออกไป คนถ่ายรูปนี้ ชื่อเอ็ดดี้ อดัมส์ได้รางวัลพลูลิเซอร์  ภาพนี้ทำให้หนุ่มสาวชาวอเมริกันออกมาประท้วงมากมาย ในที่สุดก็เกิดการส่งทหารอเมริกันมาตายที่เวียดนามนับล้านคน

แม้สงครามจะเลิกไปแล้ว นายตำรวจเหงียน ท่านนี้ ได้ลี้ภัยไปอเมริกา มีครอบครัวใหม่ เปิดร้านพิชชาเล็กๆ แต่เมื่อคนจำเค้าได้ โดยไม่สนใจเรื่องราวก็ขับไล่เค้าออกไป ในที่สุดก็ต้องระเหเร่ร่อน ไปจนวาระสุดท้าย

นายตำรวจฆ่าเวียดกง แต่ ช่างภาพฆ่านายตำรวจ

.......

เป็นอย่างที่คิดไหม
......

หัวหน้าเวียดกงฆ่าครอบครัวนายตำรวจและคนอื่นๆ อย่างโหดเหี้ยม เพราะปัญหาการปกครอง 
นายตำรวจฆ่าหัวหน้าเวียดกงด้วยกระสุนตามหน้าที่ บวกความแค้น 
ผู้สื่อข่าวฆ่านายตำรวจ ด้วยภาพเพื่อปากท้องและชื่อเสียงของตัว



ภาพที่ตอนนี้วัดพระธรรมกายกำลังโดนก็ไม่รู้ว่า วัดจะเล่นเป็นนายตำรวจ หรือ เป็นเวียดกง 
เพราะตั้งแต่ต้นมา วัดไม่ได้ขยับทำอะไรเลย มีแต่เป็นฝ่ายถูกกระทำ 
ถ้าให้เทียบก็คงเป็นว่า ทั้งเวียดนามกับเวียดกง หันมายิงใส่พระวัดพระธรรมกายนั่นแหละ 

โดยมีนักข่าวทั้งหลายคอยจับภาพตอนที่กำลังยิง ให้ชาวบ้านมองเห็นในมุมที่  
วัดนี้สมควรถูกยิงทิ้ง  และถ้ามีตำรวจทหารบาดเจ็บ แมวข่วน เดินสะดุดหัวคว่ำไป เลือดออก ก็คงเพราะวัดนี้มีพลังอะไรสักอย่าง  วัดก็ต้องผิดอีก สมควรถูกยิงทิ้งอีก

เพราะสำนักข่าวก็ต้องอาศัยข่าววัดขายพอประทังชีวิต ครอบครัวนักข่าวไปก่อนพลางๆในช่วงนี้ อันนี้เข้าใจได้ คือเอาครอบครัวตัวเองมาเป็นตัวประกัน ให้วัดเมตตามีเรื่องไปพลางๆ ก่อน

วัดที่สร้างมา 47 ปี แต่สัปดาห์เดียว ลุงตำรวจคนหนึ่งบังคับให้ทุกกรมกองของประเทศนี้มาตั้งข้อหาให้วัดได้ถึง 158 คดี  น่าติดต่อลงกินเนสส์บุคเลคคอร์ดมากเลย คนอะไรช่างเป็นที่รักเสียจริง

มันไม่มีอะไรยืนยงคงอยู่นานนักหรอกนะ เกิดขึ้นตั้งอยู่เสื่อมสลาย คดีความเหล่านี้ก็เช่นกัน มาแบบพิเศษรวดเร็วดั่งสายฟ้า ตั้งอยู่ชั่วคราวแล้วก็ เลิกแล้วกันไป 

แต่สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ คือความบอบช้ำของพระพุทธศาสนา ความศรัทธาของประชาชน ความรัก ความเอื้อเฟื้อต่อกันระหว่างภาครัฐและประชาชน 




ภาพที่นักข่าวที่ขาดคุณธรรม ก็ช่วยกันสร้างให้วัดเป็นไปอย่างที่นักข่าวต้องการ ในโลกโซเชียล ก็เกิดภาพตามที่นักข่าวที่ขาดคุณธรรมเหล่านั้น 

แล้วก็ขยายผลโดย พวกเกรียนไซเบลอ ทั้งหลาย วันๆ ไม่ทำอะไร นอกจากหาใครมาเป็นเหยื่อด่า ขยายผล ออกไป

วัดก็ยิ่งดูแปดเปื้อนมากยิ่งขึ้น เหมือนตกลงไปในถังสีย้อมผ้า

ภาพวัดจึงทั้งมืดทั้งดำ ด้วยประการฉะนี้

ดังนั้น ก่อนที่ทุกท่านจะตัดสินใจวัด จากภาพเหล่านี้ ขอท่านผู้มีการศึกษาทั้งหลาย ได้โปรดหยุดคิดสักนิดว่า มันมีความจริงอย่างไรใต้ภาพเหล่านี้ด้วย




วัดปกติก็ช่วยเหลือประชาชน ราชการ โรงเรียน ในเวลาที่มีปัญหาใหญ่ๆ แต่ถึงคราววัดมีปัญหาที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ส่วนราชการกลับไม่ยืนหยัดบนความถูกต้อง

ก็น่าเห็นใจภาคส่วนงานที่เคยพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ทำก็โดนบีบจากผู้มีอำนาจโดยมีตำแหน่งหน้าที่เป็นเดิมพัน ทำก็ฝืนมโนธรรม  ถ้าท่านทั้งหลายรู้สึกอย่างนี้ ก็ให้เลือกทำตามมโนธรรมเถิด เพราะจะได้ไม่ต้องตามด่าว่าตัวเองไปตลอดชีวิต

ถ้ามาผิดช่อง ถึงต้องออกจากราชการ ถึงเอาไปติดคุกตาราง ก็ให้มันรู้ไปว่าคนที่ยืนบนความถูกต้องในโลกนี้ยังมีอยู่ 
อยู่ก็ให้อยู่อย่างวีรบุรุษ แม้ตายก็ตายเยี่ยงวีรบุรุษ เถิด
แต่ให้เป็นวีรบุรุษกองทัพธรรม ที่ยืนบนความเที่ยงตรง ไม่ใช่ยืนบนความโกรธ เกลียด กลัว หรือโง่เขลา 



ดูอย่างพ่อเฒ่าแม่เฒ่า ที่ท่านมาสวดมนต์ที่วัด แม้อยู่เหนือใต้ออกตกแค่ไหน พอรู้ว่าวัดที่ท่านได้เคยอาศัยสร้างบารมีนี้ ถูกกลั่นแกล้ง ลำบากอย่างไร ก็มากันล้นวัด 

ท่านทั้งหลายที่มีหน้าที่ตำแหน่ง ขอจงได้โปรดหยุดคิด พิจารณาให้ดี
พระ เณร พ่อเฒ่าแม่เฒ่าเลือกคุณธรรมแทนปากท้อง  
สื่อเลือกปากท้องแทนคุณธรรม
พวกท่านจะเลือกอะไร
ขอพลังความดี จงสถิตย์ในใจ ของท่านทั้งหลาย

แล้วตัดสินใจให้ถูกต้องตามมโนธรรมในใจ

วิ. 17 ธันวา 59


แหล่งที่มาของเรื่อง https://youtu.be/7d-bJtRTW3Q




วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จดหมายเปิดผนึกถึงนายก จาก ศศินภา นิติธรรมปพน



จดหมายเปิดผนึก ถึงนายกรัฐมนตรี 
และรองฯ (รักษาการ รมว.ยุติธรรม)                   

            การเป็นผู้ถือกฎหมาย แล้วไม่อำนวยความยุติธรรม แล้วบอกให้ผู้อื่นต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม   ถือว่า เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่      การออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ของนายกรัฐมนตรี และ รองนายกรัฐมนตรี (รักษาการ รมว.ยุติธรรม) เรียกร้องให้ หลวงพ่อธัมมชโย ออกมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ออกมาต่อสู้ตามกฎหมาย  ท่านนายกฯ และท่านรองฯ ผู้รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลืมอะไรไปหรือเปล่าคะ  หรือท่านเรียนกฎหมายมานาน จนความรู้คืนอาจารย์ไปแล้ว   

ใครบอกว่า หลวงพ่อธัมมชโย ใครบอกว่า วัดพระธรรมกาย  ไม่ทำตามกฎหมาย   ทุกวันนี้ วัดพระธรรมกาย ก็เดินตามข้อกฎหมายทุกอย่าง ใช่ค่ะ ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย  แต่คนถือกฎหมาย ที่ถือช่องว่างทางกฎหมาย หาทางทำให้คู่ขัดแย้ง หมดหนทางต่อสู้เหมือนปิดประตูตีแมว  แต่นี่คือการ ปิดประตูตีพระ มันบาปนะท่าน     คิดว่าระดับปรมาจารย์ทางกฎหมาย อย่างท่านรองฯวิษณุ เครืองาม (รักษาการ รมว.ยุติธรรม) คงไม่ต้องให้บอกว่า คนรักษากฎหมาย อย่าง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ข้ามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างไร จนมาถึงวันที่ออกหมายเรียกคนป่วย (พระเรียกว่า อาพาธ)

              การแจ้งให้รับทราบข้อกล่าวหา การเรียกมาสอบสวน 
คนไม่ป่วย อย่างดีเอสไอ ก็เดินไปแจ้งหลวงพ่อที่วัดได้นี่คะ ไม่เห็นจำเป็นต้องออกหมายจับ ให้เป็นประเด็น ให้เอามาพูดได้ว่า หลวงพ่อธัมมชโยไม่ทำตามกฎหมาย พูดซะจนพระ กลายป็นผู้ร้าย เป็นอาชญากรทางสังคมไปเลย       หลักการเจรจาไกล่เกลี่ย ศูนย์สันติวิธี ศูนย์ระงับข้อพิพาท เรามีไว้ทำอะไรหรือคะท่าน หากคนถือกฎหมาย จงใจกระทำให้เกิดข้อขัดแย้งเสียเอง.   ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยก็วังเวงนะคะ   ขอจบจดหมายน้อยไว้เพียงเท่านี้   


กราบเรียนมา ด้วยความเคารพรักอย่างสูงยิ่งค่ะ
                 

      ศศินภา  นิติธรรมปพน 
กรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการ
ปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา 
สภาปฏิรูปแห่งชาติ     

    ( สภาปฏิรูปแห่งชาติ เป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ไม่มีผู้สืบต่อตำแหน่ง จึงไม่จำเป็นต้องใส่คำว่า “อดีต“ ไว้หน้าตำแหน่งหากไม่เข้าใจ ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ)                           


         ๑๔ ธันวาคม  ๒๕๕๙๙
วันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย
ในรัชสมัย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร 
รัชกาล ที่ ๑๐ ราชวงศ์จักรี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ฯ